กาละแมร์ พัชรศรี : ความสุขง่ายๆ สไตล์ท่าน ว.วชิรเมธี

ชีวิตคือการเรียนรู้อยู่เสมอ โดยเฉพาะการได้ฟังคนที่มีปัญญามากกว่าเรา คนที่ประสบความสำเร็จ คนที่ผ่านประสบการณ์ต่างๆ ในชีวิต

ฟังเพื่อมาประมวลผลกับชีวิตตัวเอง ฟังเพื่อให้เราได้รับมาปรับใช้ให้เข้ากับตัวเอง ถ้าไม่อ่านก็ต้องฟัง เพราะนั่นคือวิธีการ “เอาเข้า” (in put) เพื่อนำไปใช้ เพื่อเปลี่ยนแปลง และเติบโต

ในการเดินทางไปเรียนธรรมะกับองค์ทะไลลามะที่อินเดีย ในคณะของเรามีท่านอาจารย์ ว.วชิรเมธีและพระสงฆ์อีกหลายรูปเดินทางไปเรียนธรรมะด้วย

ช่วงบ่ายท่าน ว.จะมีการสรุปธรรมะที่องค์ทะไลลามะได้บรรยายไป ทำให้เราเข้าใจง่ายขึ้น และท่าน ว.ก็เทศน์เพิ่มเติมให้ด้วย

สิ่งที่ท่าน ว.เทศน์เรื่องหนึ่งที่พวกเราชาวคณะจำขึ้นใจและเป็นเรื่องที่เอามาถามล้อกันมากที่สุดคือเรื่อง “ปลา”

 

ท่าน ว.ได้เปรียบการใช้ชีวิตของคนเราทุกวันนี้ดั่งการตก “ปลา”

มันไม่ได้ขึ้นอยู่ว่า คุณจะตกได้ปลาชนิดไหน ตกได้เท่าไหร่ ขนาดไหน แต่ให้ถามตัวเองว่า มันเป็น “ปลา” ตัวที่เราต้องการหรือเปล่า

ฉันเชื่อว่าพอท่านพูดเรื่องนี้จบ เราต่างหยั่งลึกลงไปในใจเราว่า ทุกวันนี้เราได้ปลาตัวที่เราต้องการหรือยัง แล้วเรามีปลาตัวที่เราไม่ต้องการแต่ออกแรงตกไปเท่าไหร่แล้ว มันเสียเวลา เสียพลัง เสียสมอง เสียใจมาเท่าไหร่

จุดมุ่งหมายในชีวิตคุณ อยากได้ “ปลา” อะไรกันแน่

ให้เวลาคิดได้ค่ะ…

นอกจากนี้ ท่าน ว.ยังได้ให้เรารู้จักการให้ “พร” ตัวเอง ซึ่งจริงๆ แล้วนั่นก็มีจุดมุ่งหมายชีวิตนั่นเอง มีทั้งหมด 4 ข้อด้วยกัน

1. ให้อยู่ในที่ที่เราบริหารจัดการได้ด้วยตัวของเราเอง 100% มีอาณาจักรของตัวเอง

ถ้าเราต้องขอความเห็นชอบจากใคร เรามักจะไม่มีความสุข เราต้องมีชีวิตแบบเป็นอิสระ เป็นตัวของตัวเอง ตัดสินใจชีวิตของตัวเองได้ ซึ่งฉันคิดว่ามันรวมทั้งเรื่องบ้านที่อยู่อาศัยและการทำงานด้วย สำหรับฉันแล้ว ฉันเป็นคนที่ต้องรู้เรื่องราวที่เรากำลังลงมือทำในทุกขั้นตอน ฉันต้องรู้จักมันอย่างดี ฉันต้องทำมันเป็น อะไรไม่เป็น ไม่เก่งก็จะฝึกฝนทำมันไปเรื่อยๆ แต่เราต้องรู้มันทุกอย่าง และยิ่งเป็นเรื่องที่อยู่อาศัยด้วยแล้ว การมีอาณาจักรของตัวเอง จะเล็กหรือใหญ่ก็ตาม มันสำคัญต่อใจเรามาก เราได้เลือก ได้ดูแล ได้จัดการในแบบของเรา ไม่คับที่ไม่คับใจ ไม่อึดอัด หายใจได้คล่อง มันจำเป็นมากจริงๆ

2. ให้ทำในสิ่งที่ตัวเองรัก

เราก็จะมีความสุข โดยเราไม่ต้องไม่วิ่งไปหาความสุขที่ไหน เพราะมันเป็นเรื่องเดียวกันกับสิ่งที่เราทำอยู่ เรื่องนี้จริงมากที่สุด ถ้าเราเริ่มจากความรัก แม้ระหว่างทางจะมีอุปสรรค เจอความเหนื่อยล้า แต่เมื่อเรามองย้อนไปที่ต้นทางการเริ่มต้น เราเริ่มทำมันเพราะเรารักมันนี่นา เราอยากทำมันนี่นา ปัญหาต่างๆ มันจะค่อยๆ คลายลงไป

3. มีอิสระทางปัญญา

ได้คิด ได้พูด ได้อ่าน ได้เขียน ได้เดินทางอย่างอิสระเสรี ไม่ได้ใช้ชีวิตเหมือนอยู่ในกรง นี่ก็เป็นอีกข้อหนึ่งที่ฉันตั้งเป้าหมายไว้ การได้ใช้ชีวิต คิด พูด ทำ อย่างที่เราอยากทำแบบไม่ทำร้ายใครหรือเบียดเบียนคนอื่น ใช้ชีวิตแบบไร้ข้อจำกัด อยู่ที่ว่าอยากทำหรือไม่อยากทำเท่านั้น จะว่าไปมันอยู่ที่เราตั้งใจพอไหมที่จะมีชีวิตแบบนี้ บางคนอาจมีข้ออ้าง โทษนั่นนี่ เกิดมาเลือกไม่ได้ อาจมีข้อจำกัดบางอย่างในวัยเด็ก เช่น ฐานะ ความพร้อม ร่างกาย แต่เมื่อเราเติบโตขึ้นมา เราตั้งใจที่ใช้ชีวิตอย่างที่เราต้องการ เราจะหาวิธี และลงมือทำให้มันเป็นจริง

4. ขอให้มีสุขภาพดี

สั้นๆ เข้าใจง่าย แต่ต้องลงมือทำถึงจะเกิดผล ผัดวันประกันพรุ่งหรือบ่ายเบี่ยง หรือต้องรอให้เป็นอะไรสักอย่างแล้วเราค่อยเปลี่ยน ฉันเป็นมาแล้วทั้งนั้น และสุดท้ายเราก็รู้ว่า ไม่มีอะไรมาแทนที่สุขภาพที่ดีได้จริงๆ ร้อยละร้อยของคนที่หันมาออกกำลังกาย ใส่ใจการกิน นอนให้พอ บอกเลยว่าชีวิตดีขึ้นมาก กำลังวังชา พลังภายในมันสูงขึ้นกว่าตอนที่อายุน้อยกว่านี้แต่ไม่ลงมือทำอะไรเลย เพราะถ้าเราไม่ลงมือทำข้อนี้ สามข้อก่อนหน้านี้เราก็ยากจะทำให้มันเป็นจริง

เพราะวันที่สุขภาพไม่ดีมันเป็นข้อจำกัดในการใช้ชีวิตในแบบที่เราอยากเป็น

 

เคล็ดลับอีกข้อสำหรับตัวฉันเอง ในวันที่เราอึนๆ เบื่อๆ เพลียๆ เหนื่อยๆ เศร้าๆ ให้เราไปออกกำลังกายซะ ให้เหงื่อมันออก ให้หัวใจมันสูบฉีด ให้เลือดมันพล่าน ให้ได้ออกแรง ให้ทำในสิ่งที่ทะลุข้อจำกัดเรา ให้กายมันส่งไปถึงใจ

แล้วพลังกาย พลังใจจะกลับมา ฮอร์โมนแห่งความสุขจะหลั่ง ใช้ทั้งกาย ใช้ทั้งใจช่วยๆ กันไปค่ะ

เลิกเหงา เลิกเศร้า ใส่รองเท้าแล้ววิ่งไปตากแดดเล่นๆ กันค่ะ…