เปิดใจ ผบช.น. พล.ต.ท.ชาญเทพ เผยชีวิตหลังเกษียณ ปัญหารถติด และสารถึง ‘นักสืบ’

เปิดใจ พล.ต.ท.ชาญเทพ เจ้าของรหัส “น.1” 35 ปีบนเส้นทางตำรวจ อาชีพที่ภูมิใจทุกนาที

พล.ต.ท.ชาญเทพ เสสะเวช หรือรู้จักกันในนาม “บิ๊กหยม” ผู้บัญชาการตำรวจนครบาล (ผบช.น.) ที่พี่ๆ น้องๆ เรียกกันติดปากนั้น

ปกติไม่ค่อยปรากฏตัวต่อสื่อมวลชนบ่อยนัก เพราะเป็นผู้ที่ไม่คุมอำนาจอยู่ในมือคนเดียว แต่จะกระจายมอบหมายแบ่งหน้าที่ให้รอง ผบช.น. กำกับดูแลหน้างานลงพื้นที่ของตัวเอง

จะเห็นว่าบางคดีที่เกิดในเขตกรุงเทพมหานครไม่ค่อยปรากฏตัว แต่ได้ติดตามกำชับขับเคลื่อนคดีด้วยตัวเองตลอดที่นั่งเก้าอี้ “น.1”

หลังจากนี้อีกเพียงไม่ถึง 3 สัปดาห์ นายตำรวจผู้นี้จะยุติบทบาทชีวิตข้าราชการ 35 ปี ที่ต้องเกษียณอายุราชการ

ได้ตั้งวงพูดคุยกับ พล.ต.ท.ชาญเทพ กับชีวิตที่รับราชการมาและหลังเกษียณกับเส้นทางชีวิต

ตั้งแต่สวมหัวโขนและภายหลังจากถอดหัวโขน

ตลอดชีวิตราชการของนายตำรวจที่ชื่อ พล.ต.ท.ชาญเทพ มีชื่อชั้นด้านสายงานสืบสวน

เริ่มปฏิบัติงานในพื้นที่ภาคใต้ครั้งแรกหลังจากก้าวพ้นรั้วโรงเรียนนายร้อยตำรวจ (รร.นรต.) เป็นพนักงานสอบสวนอยู่ที่ สภ.นครศรีธรรมราช จนเป็น ผกก.สภ.หนองบัวแดง จ.ชัยภูมิ

สะสมความเป็นตำรวจผ่านมา 11 กองบัญชาการ (บช.) ไล่เรียงมาตั้งแต่ กองบัญชาการตำรวจสอบสวนกลาง (บช.ก.) สำนักงานตรวจคนเข้าเมือง (สตม.) กองบัญชาการตำรวจปราบปรามยาเสพติด (บช.ปส.) กองบัญชาการตำรวจภูธร ภาค 1, 3, 5, 6, 7, 8, 9 สุดท้ายได้รับความไว้วางใจให้เป็น ผบช.น.

พล.ต.ท.ชาญเทพบอกว่า ชีวิตหลังเกษียณนี้ เป็นสมาชิกสภานิติบัญญัติแห่งชาติ (สนช.) กรรมาธิการ (กมธ.) การเมือง และกฎหมายและกิจการตำรวจ

ส่วนชีวิตอนาคตยังไม่ได้คิดอะไร ยอมรับว่ายังไม่มีใครมาทาบทามมาขอไปนั่งเป็นที่ปรึกษา

“ขอใช้เวลาหลังเกษียณก่อนที่จะเดินไปหาความตาย ดูแลสุขภาพตัวเองก่อนเพราะเป็นคนชอบกีฬา รักบี้ กอล์ฟ ตกปลา และปลูกต้นไม้ ไม่คิดที่จะเล่นการเมือง แต่เป็นเรื่องอนาคต ทั้งนี้แล้วแต่โอกาสและจังหวะ ถ้าทำอะไรแล้วเกิดประโยชน์กับประเทศชาติก็จะทำ”

เจ้าของรหัส น.1 กล่าวว่า แม้ในอีกไม่กี่วันข้างหน้าจะเกษียณอายุราชการ มีความตั้งใจจะทำหน้าที่ให้ดีที่สุดเป็นแบบอย่างให้ผู้ใต้บังคับบัญชา ว่าเป็นตำรวจจะต้องทำอย่างไรบ้าง ไล่ตั้งแต่ 1-2-3-4 เพราะพี่น้องประชาชนหวังพึ่งตำรวจ แต่ความศรัทธาของตำรวจนับวันมันน้อยลง

ความศรัทธาที่เกิดขึ้นลดน้อยลงเป็นเพราะ “คน” ขาดความรับผิดชอบ

คนก็คือตำรวจ จึงต้องไปกระตุ้นความรับผิดชอบความเป็นตำรวจ ว่าหน้าที่หลักของตำรวจต้องทำอะไรบ้าง จึงต้องลงพื้นที่ตามโรงพักเพื่อไปกระตุ้นสร้างจิตสำนึก

เมื่อก่อนพี่น้องประชาชนไม่ได้จับตามองตำรวจ แต่ขณะนี้ยุคดิจิตอลสื่อสารเร็วมาก เรื่องเล็กเป็นเรื่องใหญ่สังเกตดูได้ ฉะนั้น ถึงต้องกระตุ้นเจ้าหน้าที่ตำรวจให้มีจิตสำนึกว่าต่อไปนี้จะทำงานอย่างอื่นไม่ได้ จะต้องเป็นแบบอย่าง ไม่ว่างานสอบสวน งานจราจร พี่น้องประชาชนหวังมาก เช่น ผู้เสียหายขึ้นมาบนโรงพัก พนักงานสอบสวนไม่เอาใจใส่ ให้ผู้เสียหายไปหาพยานหลักฐานมาเอง คำนี้ต้องไม่ออกจากตำรวจ เป็นไปไม่ได้

“ช่วง 1 ปีที่ผ่านมา กับการนั่งเก้าอี้ตำแหน่ง ผบช.น. มอบนโยบาย เช่น การรับแจ้ง และเป่าดคี ฟังแล้วก็ยังไม่ประทับใจ ก็มีเรื่องร้องเรียนกันมาตลอดโดยเฉพาะตัวพนักงานสอบสวนที่ไม่ใส่ใจในหน้าที่ ที่ปล่อยภาระให้กับผู้เสียหายหรือผู้มาร้องทุกข์ ก็ยังมีเป็นเรื่องที่ต้องแก้ไข”

บิ๊กหยมบอก

พร้อมเล่าต่อว่า ก่อนที่จะเกษียณมีหมายจับที่ออกไว้ตั้งแต่ 5-20 หมาย ที่ผ่านมาโดยเฉพาะเดือนกันยายนมีหมายจับที่ขาดอายุความอยู่ 167 หมายจับ มีความคืบหน้าไปพอสมควร แต่ยังมีจำนวนมากที่หมายจับยังค้างคาอยู่หลังจากเดือนนี้

พร้อมขยายความว่า ที่หมายจับยังค้างอยู่จำนวนมาก จากประสบการณ์ที่ผ่านมา เมื่อหมายจับออกแล้วตำรวจไม่ค่อยได้ตามต่อเพราะเห็นเป็นเรื่องเล็กน้อย จะทำแต่คดีใหม่ๆ คดีใหญ่ๆ ที่เกิดขึ้นมา คดีเล็กๆ ออกหมายจับไปแล้วก็ออกไปตามเจอบ้างไม่เจอบ้าง ไม่ใส่ใจที่จะต้องหา

เช่น หมายจับคดีลักทรัพย์ ยกตัวอย่างเช่น มีโรงพักมีหมายจับอยู่ 60 หมาย พวกนี้ถ้าไม่จับก็จะไปก่อเหตุอีกเท่าไหร่ ถ้าติดตามจับกุมมาได้ก็จะหยุดยั้งคดีก็จะไม่เกิด เป็นการป้องกันอย่างหนึ่ง มองเชิงบริหาร ตำรวจงานเยอะอยู่แล้ว ประชาชนคาดหวังตำรวจมาก

ฉะนั้น ตำรวจต้องมีจิตสำนึกที่จะให้บริการ

พล.ต.ท.ชาญเทพกล่าวอย่างภาคภูมิใจว่า ตลอดการทำงาน 35 ปีกับการรับราชการ ตั้งใจทำเพื่อดูแลทุกข์สุขของประชาชนให้ปลอดภัยในชีวิตทรัพย์สิน มีความประทับใจการเป็นตำรวจและอาชีพตำรวจทุกนาทีที่ได้รับใช้ ในฐานะผู้รักษากฎหมายมีหน้าที่คุ้มครองคนดี ป้องปรามกำจัดคนชั่ว ทำให้บ้านเมืองสงบ ฉะนั้นหลักการทำงานจึงยึดบังคับใช้กฎหมายเป็นธรรม เสมอภาค ไม่กลั่นแกล้ง รังแก เอาเปรียบ แต่เป็นคนที่ไม่ชอบโจร และพวกที่ก่อกรรมทำเข็ญกับพี่น้องประชาชน ความรู้สึกไม่ดีถ้ายิ่งตำรวจไปทำความผิดเสียเอง ไม่สบายใจเลย

กับคำถามที่ว่า ผบช.น. ใครก็อยากมานั่งเพราะเป็นเก้าอี้เกรดเอคุมเมืองหลวง

“น.1” บอกว่า ก็เพราะ “มันเป็นศักดิ์ศรี” คนที่จบหรือไม่จบจาก รร.นรต. เมื่อเข้ามาเป็นนายตำรวจ คำว่าผู้บัญชาการตำรวจนครบาล มันยิ่งใหญ่มาก ถือว่าเป็นเกียรติประวัติ ได้รับผิดชอบสังคมเมืองหลวง เป็นที่เชิดหน้าชูตาวงศ์ตระกูล แต่มันก็เป็นกาลเวลาที่ชีวิตราชการต้องหมดไป ตำรวจเมื่อเข้ามาแล้วต้องเป็นผู้เสียสละ คอยบอกน้องๆ ตลอดในช่วง 1 ปีที่นั่งในตำแหน่ง พี่น้องประชาชนพร้อมให้ความร่วมมือกับตำรวจโดยเฉพาะภาคเอกชน แต่จะทำอย่างไรให้เขาเข้าใจในชีวิตตำรวจ และเขาก็อยากใกล้ชิดตำรวจ

สำหรับปัญหาการจราจร “บิ๊กหยม” บอกว่า เป็นเรื่องหนักของคนกรุงเทพฯ เรื่องนี้ไม่ใช่เพิ่งเกิด คนเข้าใจว่าปัญหาจราจรแก้ไม่ได้ แต่ขอให้ได้บ่น

“คนอยากเห็นตำรวจตอนรถติด ออกมาช่วยการบริการ แต่บางคนก็บอกว่าเป็นตำรวจแล้วรถติด ผมบอกไปว่าด่านจราจรห้ามตั้งด่านในเมืองหลวงรถมันติด จากนโยบายที่ให้ไปก็ดื้อไม่ฟัง ระยะเวลาอาจจะน้อยไป แต่ก็มีการลงโทษลงทัณฑ์ก็พอสมควรแก่เหตุ”

ในฐานะ พล.ต.ท.ชาญเทพเป็นผู้คร่ำหวอดในงานนักสืบกับงานสืบสวน ถามว่าอยากฝากอะไรกับน้องๆ นักสืบรุ่นใหม่บ้าง

ผบช.น.เอ่ยว่า ช่วงนี้ไม่ห่วงงานสืบสวนเพราะว่าคดีใหญ่ที่เกิดขึ้นไม่ว่าคดีอะไรเราทำสำเร็จ ถ้าคดีใหญ่ทำไม่สำเร็จป่านนี้สำนักงานตำรวจแห่งชาติอยู่ไม่ได้ แต่เรื่องเล็กๆ ที่ยังซ่อนอยู่ยังทำไม่หมด แต่นักสืบที่จะต้องทำคือหมายจับค้างเก่าต้องมาไล่จัดระบบเพราะยังขาดข้อมูลท้องถิ่น ยังไม่อัพเดต เพราะยังขาดการเก็บฐานข้อมูลของตำรวจเอง

โลกเปลี่ยนไปในยุค 4 จี ดิจิตอล วิธีคิดนักสืบต้องเปลี่ยน ต้องใช้หลักฐานทางนิติวิทยาศาสตร์เข้ามาเยอะๆ ต่อไปทุกสิ่งทุกอย่างต้องเป็นนิติวิทยาศาสตร์ จับต้องได้ ผู้ต้องหาไม่ปฏิเสธ

พร้อมฝากถึงพี่น้องประชาชนให้กำลังใจตำรวจบ้าง อย่าด่า อย่าว่ากล่าวกันมากเลย จริงๆ แล้วก็รับใช้พี่น้องประชาชนด้วยใจ ทำงานไม่มีวันหยุด ชีวิตตำรวจก็หนักหนาพอสมควร เมื่อเข้ามาปฏิบัติหน้าที่แล้ว รับอาสามาแล้วก็ต้องปฏิบัติหน้าที่ให้ดีที่สุด

“ผมเกษียณแล้วไม่ใช่ว่าไม่ได้เป็นตำรวจ ผมใช้ยศ พล.ต.ท. ผมบอกลูกน้องตลอดเวลาว่าเขาด่าตำรวจก็เหมือนเขาด่าผม” บิ๊กหยมกล่าวทิ้งท้าย