วงค์ ตาวัน : 4 ปีสงครามเกาะเต่า

วงค์ ตาวัน

เกาะเต่า สถานที่ท่องเที่ยวดังในสุราษฎร์ธานีของบ้านเราตกเป็นข่าวเกรียวกราวอื้อฉาวระดับโลก จากเหตุการณ์ข่มขืนฆ่านักท่องเที่ยวสาวชาวอังกฤษและฆ่านักท่องเที่ยวชายชาวอังกฤษแฟนหนุ่มพร้อมกัน 2 ศพ เมื่อปี 2557 มาล่าสุดเมื่อปลายเดือนสิงหาคมที่ผ่านมา เกาะเต่าเป็นข่าวลั่นโลกอีก เมื่อสื่อต่างประเทศเสนอข่าวแหม่มสาวชาวอังกฤษวัย 19 ปี ถูกมอมยาข่มขืนที่เกาะเต่าซ้ำอีก แถมอ้างว่าตำรวจไทยไม่ยอมรับแจ้งความอีกด้วย

คดีดังเมื่อปี 2557 นั้น ตำรวจไทยทุ่มเททีมสืบสวนชั้นดีจากส่วนกลางลงไปคลี่คลายคดี จนสามารถจับกุมแรงงานต่างด้าว 2 รายเป็นผู้ต้องหา พร้อมพยานหลักฐานแน่นหนา ส่งอัยการและส่งฟ้องศาล จนศาลตัดสินประหารชีวิต 2 จำเลยทั้งสองศาล ตอนนี้คดีเหลือศาลฎีกาเป็นชั้นสุดท้าย

แต่กระบวนการทำคดีของตำรวจ ต้องเผชิญกับกระแสโจมตีจากนักสืบโซเชียลที่กระหน่ำอย่างไม่ยั้งมือ ทำให้เกิดความสับสนในหมู่ประชาชนไม่น้อยว่าตำรวจจับตัวจริงหรือจับแพะ

“ขนาดคดีขึ้นศาลพิสูจน์ความจริงตามกระบวนการพยานหลักฐาน และศาลเชื่อตามน้ำหนักคดีของตำรวจ จนตัดสินประหารชีวิตแล้วทั้ง 2 ศาล ก็ยังมีกระแสกล่าวหาตำรวจไม่จบสิ้น!?”

มาคดีหลังล่าสุด ตำรวจส่วนกลางได้เข้าตรวจสอบพยานหลักฐานต่างๆ จนสามารถอธิบายได้ชัดเจนพอสมควรว่า ยังไม่ปรากฏร่องรอยพยานหลักฐานอะไรเลยที่บ่งชี้ได้ว่า มีการมอมยาและข่มขืนแหม่มสาวดังกล่าวเกิดขึ้นจริง

หนล่าสุดนี้ก็ต้องเผชิญกับนักสืบโซเชียลอย่างดุเดือดอีก

“ลงเอยตำรวจสั่งเอาผิดกับ 2 เพจดังที่โพสต์ข้อความจนสร้างความเสื่อมเสียทางด้านการท่องเที่ยวและภาพลักษณ์ของประเทศไทย รวมทั้งดำเนินคดีกับผู้ที่แชร์ข่าวเสียหายนี้ด้วย”

เลยกลายเป็นกระแสวิพากษ์วิจารณ์ ทำนองว่าเป็นการใช้กฎหมายอย่างเข้มงวดเกินไป ไม่เปิดโอกาสให้สังคมได้มีการตรวจสอบข้อสงสัยด้านเหตุการณ์ต่างๆ เลยหรือไม่

ทั้งหลายทั้งปวงคงต้องยึดหลักของความพอดีด้วยกันทุกฝ่าย ไม่มากไปและไม่สุดโต่งเกินไปในหมู่ผู้เกี่ยวข้องทั้งสองฟาก

ความจริง นับจากคดีดัง 2 ศพในปี 2557 เป็นต้นมา ตลอด 4 ปีมานี้จะพบว่าสื่อต่างประเทศบางรายและเหล่านักสืบโซเชียลพากันจับจ้องเรื่องราวบนเกาะเต่าอย่างไม่กะพริบตา หลังจากนั้นเกิดเหตุนักท่องเที่ยวหายตัว หรือมีเหตุร้ายแรงเกี่ยวกับนักท่องเที่ยวต่างชาติ ก็จะเป็นประเด็นนำเสนออย่างเกรียวกราว

คล้ายกับจะจ้องตรวจสอบว่า ตำรวจไทยมีประสิทธิภาพในการรักษาความปลอดภัยได้ดีจริงหรือไม่ อีกทั้งคล้ายจะติดค้างมาจากการคลี่คลายคดี 2 ศพ ทำนองว่ายังไม่เชื่อถือตำรวจไทยมากพอ

บ้างก็ถึงขั้นมองว่า ผู้ที่ก่อเหตุข่มขืนฆ่า 2 ศพนั้นเป็นผู้มีอิทธิพลบนเกาะเต่า เมื่อจับผิดตัว คดีก็เลยเกิดซ้ำอีก เพราะกลุ่มอิทธิพลยังลอยนวลอยู่ อะไรทำนองนั้น

“นี่จึงเป็นกระแสที่เสมือนสงครามในการจับจ้องการทำงานของตำรวจอย่างไม่ลดละ ติดพันมาจนถึงเหตุร้องเรียนสื่อนอกเรื่องมอมยาข่มขืนล่าสุด”

พลิกไปดูคดีข่มขืนฆ่านักท่องเที่ยวสาวอังกฤษ พร้อมฆ่าแฟนหนุ่มชาวอังกฤษ 2 ศพ บนหาดทราย เหตุเกิดเมื่อดึกวันที่ 14 กันยายน 2557 ซึ่งเป็นคดีสะเทือนการท่องเที่ยวของประเทศไทยรุนแรง

ขณะนั้น พล.ต.อ.สมยศ พุ่มพันธุ์ม่วง เพิ่งได้รับแต่งตั้งเป็น ผบ.ตร.ได้ไม่นาน จึงถือเป็นคดีที่ท้าทายฝีมืออย่างยิ่ง

“มีการระดมตำรวจมือสืบสวนชั้นดี นำโดย พล.ต.อ.จักรทิพย์ ชัยจินดา รอง ผบ.ตร.ฝ่ายปราบปราม พร้อมทีมตำรวจมากประสบการณ์จากนครบาลและกองปราบฯ ร่วมประสานกับตำรวจท้องที่”

ตำรวจต้องทำงานท่ามกลางกระแสอันร้อนแรงของนักสืบโซเชียล มีการพาดพิงผู้ต้องสงสัย พร้อมทั้งระบุถึงกลุ่มมาเฟียอิทธิพลบนเกาะแห่งนี้ว่าอยู่เบื้องหลังอาชญากรรมอันโหดเหี้ยม

ต่อมาการสืบสวนของตำรวจได้พยานหลักฐานมากขึ้น จนนำไปสู่การจับกุม 2 แรงงานต่างด้าวเป็นผู้ต้องหา ซึ่งยอมรับสารภาพ พาชี้จุดเกิดเหตุอย่างละเอียด

แต่เพราะกระแสในโซเชียลโหมไปไกลมาก ส่วนการสืบจับของตำรวจไม่สอดรับกับกระแสนั้น

“คราวนี้ก็เลยโหมจับผิดการทำงานของตำรวจอย่างขนานใหญ่ ทำเอาสังคมสับสน แถมทำท่าจะเชื่อตามนักสืบโซเชียล ที่พยายามจะชี้ว่าผู้ก่อเหตุตัวจริงเป็นผู้มีอิทธิพลเหนือตำรวจ”

โดยไม่มองข้อเท็จจริงพื้นฐานที่ว่า การสืบสวนคดีนี้ไม่ได้กระทำโดยตำรวจโรงพักท้องที่เพียงลำพัง แต่เป็นการทำงานจากส่วนกลาง นำโดย พล.ต.อ.สมยศ ผบ.ตร.ที่มาด้วยตัวเอง มี พล.ต.อ.จักรทิพย์เป็นหัวหน้าทีม มีนายพลนักสืบชื่อดังจากนครบาลและสอบสวนกลางเดินกันว่อน

จะมีมาเฟียบนเกาะเต่ารายไหนที่สามารถมาบีบตำรวจระดับนี้ได้ แถมเป็นการทำคดีที่เดิมพันการรับเก้าอี้ ผบ.ตร.ของ พล.ต.อ.สมยศอีกด้วย!

เมื่อรวบรวมพยานหลักฐานและตัวผู้ต้องหาได้แล้ว เมื่อนำสำนวนคดีเสนออัยการกลั่นกรอง แล้วอัยการก็มิได้คัดง้างหรือเห็นว่าจับมั่วจับแพะ ก็ส่งฟ้องศาล จนกระทั่งศาลรับฟังพยานหลักฐานทั้งสองฝ่ายแล้ว เห็นว่าน้ำหนักพยานหลักฐานตำรวจน่าเชื่อถือ จึงพิพากษาว่า 2 จำเลยผิดจริง

จุดสำคัญคือ ในขั้นตอนที่คดีขึ้นสู่ชั้นศาล มีทนายความจากสภาทนายเข้ามารับว่าความให้กับ 2 จำเลย ทำให้จำเลยตั้งหลักใหม่ โดยให้การปฏิเสธ ทั้งยังร้องเรียนว่าตำรวจได้ซ้อมและบังคับขู่เข็ญในชั้นสอบสวนอีกด้วย แต่ลงเอยก็ไม่มีอะไรชัดเจน

“ในระหว่างการเบิกความชั้นศาลนั้นเอง มีการนำเอาประเด็นการต่อสู้คดีของจำเลยในบางจุดออกมาเผยแพร่ผ่านสื่อ ทำให้กระแสสังคมเริ่มรู้สึกเห็นว่า คดีของตำรวจมีพิรุธ!?”

แต่ลงเอยศาลพิพากษา เชื่อน้ำหนักพยานหลักฐานของตำรวจ ซึ่งมีรายละเอียดทั้งพยานบุคคล พยานหลักฐานนิติวิทยาศาสตร์ เห็นว่าจำเลยผิดจริง และเมื่อไม่รับสารภาพจึงไม่มีการลดโทษ นำมาสู่การตัดสินประหารชีวิต

“หากศึกษารายละเอียดคำพิพากษาที่นำมาสู่การลงโทษจำเลย ไม่ฟังเพียงกระแสข่าวถึงคำเบิกความต่อสู้คดีในบางจุด อาจจะทำให้เข้าใจรูปคดีชัดเจนมากขึ้น”

ไม่เท่านั้น ในชั้นอุทธรณ์ ศาลมีคำพิพากษายืนตามชั้นต้น

“ให้ประหาร 2 จำเลยเช่นเดิม ตอนนี้เหลือเพียงชั้นฎีกา คดีก็จะถึงที่สุด!”

แต่เพราะสงครามยังติดพันไม่จบสิ้น เมื่อมาถึงหนล่าสุด กรณีแหม่มสาวอังกฤษวัย 19 ร้องเรียนว่าถูกมอมยาและข่มขืนบนเกาะเต่า แต่ตำรวจไม่รับแจ้งความ

“พล.ต.อ.จักรทิพย์ ที่เป็นหัวหน้าชุดคดีเกาะเต่าเมื่อ 4 ปีก่อน ในฐานะ ผบ.ตร.คนปัจจุบัน มอบหมายให้ พล.ต.ต.สุรเชษฐ์ หักพาล รอง ผบช.ท่องเที่ยว นำทีมมาตรวจสอบความจริงให้กระจ่าง”

จนได้ข้อสรุปว่า ไม่มีพยานหลักฐานใดๆ ที่ชี้ว่ามีเหตุมอมยาข่มขืนเกิดขึ้น ทั้งสภาพชายหาดที่อ้างว่าเป็นจุดเกิดเหตุ คืนดังกล่าวเป็นช่วงน้ำทะเลขึ้นสูง แถมสถานบันเทิงที่กล่าวอ้างก็เต็มไปด้วยนักท่องเที่ยวหนาตา ที่แห่มาดูการถ่ายทอดสดบอลโลกในคืนนั้น

ไปจนถึงไม่มีการแจ้งต่อสถานทูตอังกฤษ หรือสถานกงสุล แล้วเรื่องมาดังขึ้นเมื่อเจ้าตัวเดินทางกลับไปอังกฤษแล้ว

ลงเอยตำรวจมั่นใจว่าไม่น่าจะมีเหตุจริง จึงนำมาสู่การเอาผิดกับฝ่ายโซเชียล

ดูไปแล้ว ต่อจากนี้สงครามเกาะเต่า ก็น่าจะยังคุกรุ่น พร้อมจะระเบิดศึกครั้งใหม่กันอีกต่อไป!