กาละแมร์ พัชรศรี : ศิลปะแห่งความไม่สมบูรณ์แบบ

ฉันเป็นเพอร์เฟ็กชั่นนิสต์

และตอนนี้ฉันได้ “เคย” เป็นเพอร์เฟ็กชั่นนิสต์

ฉันเรียนรู้แล้วว่า อะไรๆ ก็เปลี่ยนแปลงกันได้จริงๆ แม้แต่ความยึดมั่นถือมั่นที่ตัวเองเคยมีและคิดว่ามันดี เมื่อได้เรียนรู้ เมื่อได้เติบโต เมื่อได้เห็นโลก ก็ทำให้เรารู้ว่า “อะไรๆ ก็เปลี่ยนได้เสมอ”

แม้แต่ตัวเราเอง…

ฉัน (เคย) เป็นคนที่บ้าความสมบูรณ์แบบ มีความรับผิดชอบต่อหน้าที่ของตัวเองตั้งแต่เป็นเด็กจนโต และพาลหาความสมบูรณ์แบบจากคนรอบข้าง

แบบที่ยัดข้อหาว่า ทีฉันทำได้ ทำไมเธอทำไม่ได้ ทีฉันเต็มที่ ทำไมเธอไม่เต็มที่ โดยไม่ฟังเหตุผลหรือมีความเมตตาใดๆ ให้ใคร

ไม่คือไม่ ไม่ใช่คือไม่ใช่ ไม่ได้คือไม่ได้ ไม่มีอ่อนข้อ ไม่มีงอ มีแต่แตกหักกันอย่างเดียว

และสุดท้าย จบแบบปวดหัวใจ เสียใจ เสียความรู้สึก เหนื่อยล้า ปวดหัว อารมณ์เสีย สถานการณ์แย่ มึนตึง เบื่อๆ อึนๆ เพียงเพราะฉันใช้บรรทัดฐานของตัวเองไปวัดกับคนอื่น

ต้องดีแบบนี้ ต้องทำแบบนี้ ต้องเร็วขนาดนี้ ต้องได้ดั่งใจอย่างนี้

อย่าว่าแต่คนรอบข้างเหนื่อยเลย

ตัวฉันเองนั่นแหละที่เหนื่อยที่สุด

งานจบ คนไม่จบ เพราะต้องแบกความอารมณ์เสีย ไม่ได้ดั่งใจไปอีกหลายชั่วโมง หลายวัน หลายเดือน หลายปี

แล้วไง โคตรรรรรรหนักสิคะ

แล้วเราก็จะไม่ชอบตัวเองไปเรื่อยๆ และเสียใจในสิ่งที่ตัวเองทำบ่อยครั้ง

 

โชคยังดีที่เราอยากเปลี่ยนแปลงตัวให้ดีขึ้น หาหนทาง ฝึกฝน เข้าใจ ปล่อยวาง เรียนรู้ธรรมะ ฝึกการมีเมตตา ให้อภัยคนอื่นและต่อตัวเอง

เรื่องนี้ไม่ง่าย แต่ไม่ยากเกินจะทำ

เราทำแบบวิธีของเรามาครึ่งค่อนชีวิตแล้ว ใช่ มันดีกับบางเรื่อง แต่มันก็ไม่เวิร์กกับหลายๆ เรื่อง เราลองเปลี่ยนวิธีคิด ทัศนคติ ฝึกสติ เห็นใจเพื่อนมนุษย์ให้มากขึ้นมันจะดีกว่าไหม

ไม่เช่นนั้นมันต้องเป็นอะไรสักอย่าง ไม่ทางกายก็ทางจิต

ของแบบนี้มันตลกดีเหมือนกันนะคะ พอจิตเราบอกกับตัวเองว่า เราจะสบายๆ มากขึ้น ไม่ตึงเกินไป และท้าทายตัวเองเสมอเมื่อเจอสถานการณ์ที่จะทำให้เราไปมีปฏิกิริยาแบบเดิมๆ เราก็จะไม่ทำแบบเดิมๆ อีก อาจจะไม่ดีมาก แต่ก็ดีกว่าเดิม เพียงแค่ใจเราบอกว่า เราจะเปลี่ยนแปลงมัน

สิ่งที่ฉันต้องฝึกฝนก็คือ “การมีสติ”

เพราะที่ผ่านมาคือ “ไร้สติ” ไม่รู้ว่าเราทำอะไรลงไป รู้อีกทีคือทำลงไปแล้ว คาดความยั้งคิดบ่อยครั้ง มีปฏิกิริยาตอบกลับแบบไร้รอยต่อ นั่นคือ ทำทันทีที่มีอะไรที่มากระทบกายและใจ

ปากไวกว่าสมอง

ความรู้สึกวูบไหวไวกว่าสติ

พอทุกอย่างมันได้ที่ มันจึงออกฤทธิ์โดยพร้อมเพรียงกัน นั่นคือ ผลของการฝากสติ จิตน้อมไปทางเมตตา เหนื่อยมานานหนักหนากับการแบก หัวจะแตกกับการแหกปากปาวๆ อยากมีชีวิตยืนยาวแบบตายฉับพลัน และอยากหันไปทางไหนก็มีความสุขง่ายๆ

นอกจากนี้ยังต้อง “ช่างแมร่งช่างมัน” เยอะมาก โดยเฉพาะอะไรที่ไม่ใช่เรื่องของเราก็ไม่ต้องเอามาแบก อะไรที่ฟังแล้วจิตตกคิดลบ ไม่ดีต่อสุขภาพใจก็ไม่ต้องไปร่วม เลิกนิสัยตัดสินคนในใจ เขาจะเป็นอย่างไรก็ช่างเขา ไม่ต้องเอาเขามาใส่ไว้บนหัว ทำได้ก็เบาขึ้นเยอะ

มองแง่มุมดีๆ ของเขาที่ทำให้เราเยอะมาก ไม่ใช่จดจำแต่ข้อเสียที่เพิ่งปรากฏแล้วลืมความดีทั้งหมดที่เขาทำให้ จ้องแต่จุดดำเล็กๆ นั้นให้ใหญ่ขึ้น

ขอบคุณคน สิ่งของ ทุกอย่างรอบตัวทุกวัน มองอะไรให้มันสร้างสรรค์ ไม่ใช่หงุดหงิดตลอดเวลา มันจะเป็นบ้าเอา

เจอเหตุการณ์ที่จะมาท้าทาย ก็ตั้งสติให้ทัน แล้วถอยออกจากเหตุการณ์นั้นมาเป็นคนดู ถ้าเป็นกรูคนเดิมต้องมีระเบิดลงตรงนั้น แต่เราเลือกให้เหตุการณ์มันคลี่คลายได้ ให้ผ่อนคลายได้ มันอยู่ที่เราเลือกแค่นิดเดียว บอกเลยว่ามันท้าทายเราสุดๆ แต่ทำได้เราจะโคตรชอบตัวเองเลย ของแบบนี้ฝึกไปเรื่อยๆ มันจะดีเอง แต่ถ้าครั้งไหนทำไม่ได้ ก็ไม่ต้องไปตีอกชกหัวตัวเอง ให้อภัยตัวเอง แล้วบอกกับตัวเองเลยว่า “เห็นไหม ทีตัวเองยังทำผิดพลาดได้ แล้วจะไปเอาความถูกต้องทุกอย่างจากคนอื่นได้อย่างไร”

ผลจากการทำ…

ตัวเบา ใจเบา หัวโล่ง สบายยยยยยยยยยยยยยยยยย

มีความสุขโคตรง่าย อะไรก็ได้ ไม่ต้องขึ้นอยู่กับใคร อยู่ที่เรานี่แหละ อยากมีความสุข ก็ทำได้เลยจากตัวเราเลย ความรู้สึกของเราได้เลย

แค่รู้ตัวว่า ตอนนี้เรารู้สึกอย่างไร รู้ปุ๊บ ปรับทันที แล้วดีได้เลย

ชีวิตสนุกตรงนี้ ตรงที่เราได้เรียนรู้ไม่รู้จักจบสิ้น และทำให้ดีขึ้นได้ทุกวัน!