วิจารณ์สามมิตร พลังดูด เอาผิด “อนาคตใหม่” ตอกย้ำ ปรองดองริบหรี่

อนาคตใหม่เปิดตัวมาไม่นาน ก็กลายเป็นที่รู้จักในแวดวงการเมือง

ความน่าสนใจอยู่ที่ระดับแกนนำของพรรคเป็นคนรุ่นใหม่ นักธุรกิจระดับแสนล้าน นักกฎหมายนักคิดระดับต้นของประเทศ

มีความชัดเจนเรื่องจุดยืนทางการเมือง ไม่ใช่แค่อ้างประชาธิปไตยเพื่อประดับ แต่เป็นการนำหลักประชาธิปไตยไปอธิบายปัญหาอื่นๆ ในทุกช่องทางการสื่อสารต่อสาธารณะ

ที่สำคัญคือการเปิดตัวในทางจุดยืนของพรรค ก็ประกาศอยู่ตรงข้ามกับ คสช. และกองทัพ ทั้งยังวิจารณ์พลังของฝ่ายอนุรักษนิยมกลุ่มที่ขัดขวางการพัฒนาประชาธิปไตยอย่างตรงไปตรงมา

จนช่วงแรกถูกคัดค้านตั้งแต่ในขั้นการจดจัดตั้งพรรค แต่ก็สามารถรอดมาได้

แม้ คสช. จะยังไม่ปลดล็อกทางการเมือง แต่ก็อนุญาตให้มีการประชุมพรรค-เลือกหัวหน้า เสร็จสิ้นขั้นตอนพรรคอนาคตใหม่ก็เริ่มลงพื้นที่

แต่เป็นการลงกลุ่มเล็ก ส่วนใหญ่เป็นการพบปะชาวบ้านและพูดคุย เนื่องจากยังอยู่ในกรอบกฎหมายที่ คสช. ควบคุมอยู่

แต่จู่ๆ ก็มีข่าวกองบังคับการปราบปรามการกระทำความผิดเกี่ยวกับอาชญากรรมทางเทคโนโลยี (บก.ปอท.) ออกหมายเรียกนายธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ ว่าที่หัวหน้าพรรคอนาคตใหม่ และแกนนำอีก 2 คน เข้าให้ข้อมูลกับพนักงานสอบสวน ปอท.

เจ้าตัวถึงกับออกปากว่า รู้ตัวอยู่แล้วว่าจะต้องโดน แต่ไม่คิดว่าจะเร็วขนาดนี้

 

ต้นเหตุของคดี เริ่มจาก พ.อ.บุรินทร์ ทองประไพ ฝ่ายกฎหมายของ คสช. ที่นักเคลื่อนไหวต้าน คสช. รู้จักกันดี เข้าไปแจ้งความไว้เมื่อสองอาทิตย์ก่อน

โดยเอาผิดด้วย พ.ร.บ.คอมพิวเตอร์ กรณีไลฟ์สดวิจารณ์รัฐบาลเรื่องพลังดูด

“คดีดังกล่าวนายธนาธรมีการพาดพิงถึง คสช. ซึ่งเป็นการบิดเบือนข้อมูลกระบวนการยุติธรรมและเป็นการกล่าวหา คสช. นอกจากนี้ยังถือว่าเป็นการโจมตีกระบวนการยุติธรรมด้วย โดยคดีดังกล่าวจะให้พนักงานสอบสวนรวบรวมพยานหลักฐานเพื่อดำเนินคดีกับนายธนาธรและพวกต่อไป” พ.อ.บุรินทร์ระบุ

สำหรับเนื้อหาที่ถูกเอาผิดนั้น ธนาธรระบุว่าเป็นการพูดในรายการ “คืนวันศุกร์ให้ประชาชน” ที่ไลฟ์สดออกอากาศทางเฟซบุ๊ก ล้อไปกับช่วงเวลาที่ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ออกอากาศในคืนวันศุกร์เช่นกัน

ประเด็นหลักคือการพูดวิจารณ์การเคลื่อนไหวของพลังดูด ซึ่งธนาธรยืนยันว่าไม่ผิด เพราะเป็นเรื่องที่คนทั่วไปวิจารณ์ ส่วนตัวเองก็ได้รับข้อมูลจากผู้ที่ถูกทาบทามมาด้วย

“ทั้งหมดนี้ไม่มีประเด็นอะไรมีน้ำหนักพอจะเข้าข่ายความเท็จ หรือเป็นภัยต่อความมั่นคง โดยเฉพาะประเด็นการดูด ส.ส. เพราะเป็นเรื่องที่นักการเมือง รวมถึงสื่อทั่วประเทศพูดกันทั่วไป แต่ที่สำคัญกว่านั้นก็คือนี่ เป็นอีกครั้งที่รัฐบาล คสช. ใช้ พ.ร.บ.คอมพ์ ละเมิดเสรีภาพในการแสดงออก แทนที่จะใช้กฎหมายปกป้องสิทธิเสรีภาพในการรับรู้ข้อมูลข่าวสารของประชาชน” ธนาธรระบุ

ธนาธรยืนยันต่อว่าไม่กลัว แต่เป็นห่วงว่าการเลือกตั้งที่จะเกิดขึ้นอาจจะไม่ยุติธรรม

“ผมยืนยันว่าคดีที่เกิดขึ้นไม่ได้ทำให้อนาคตใหม่ท้อถอยหรือหวาดกลัว ในทางตรงข้าม นี่คือหมุดหมายแห่งความสำเร็จของเรา เพราะในการต่อสู้ทางการเมือง การมีอุปสรรค มีศัตรู ย่อมหมายความว่าเรามีจุดยืนที่ชัดเจน ในภาวะเช่นนี้ เราไม่อาจมองเห็นได้เลยว่าการเลือกตั้งที่ คสช.สัญญาว่าจะเกิดขึ้นภายในต้นปีหน้า จะดำเนินไปอย่างบริสุทธิ์ยุติธรรมได้อย่างไร ในเมื่อพรรคการเมืองและประชาชนยังคงไม่สามารถแสดงออกได้อย่างเสรี”

ธนาธรระบุ

 

หากย้อนไปดูช่วงแรกของการก่อตั้งพรรค อนาคตใหม่ก็ถูกรับน้องจากฝ่ายตรงข้ามอย่างหนัก

แต่ก็ยังไม่ถึงขั้นกับตั้งเป้าเอาผิดกฎหมายได้

มีเพียงถูกฝ่ายตรงข้ามจับประเด็นเล็กน้อยไปขยายต่อและโจมตีอย่างหนัก เช่นกรณีคำว่าไพร่สมัยใหม่ของ พล.ท.พงศกร รอดชมภู รองหัวหน้าพรรคอนาคตใหม่ แต่เจ้าตัวก็ยังฮึดสู้ ออกปากว่าไม่ใช่กระดูกอ่อน สะท้อนการเตรียมตัวเตรียมใจมาอย่างดี

“ผมคิดว่าคุณธนาธรนั้นแกร่งพอ ไม่ใช่ถนิมสร้อยที่จะโดนอะไรไม่ได้ อ.ปิยบุตรก็เช่นกัน ส่วนผมพงศกรก็ไม่ใช่กระดูกอ่อนที่จะทนรับน้องไม่ได้ ดังนั้น ผมจึงไม่ได้ห่วงอะไรเลย อยากรับน้องก็ทำไป” พล.ท.พงศกรระบุ

แต่ถึงกระนั้น ระหว่างลงพื้นที่ได้หลายจังหวัด อนาคตใหม่ก็ต้องเจอกับพลังของรัฐราชการและฝ่ายความมั่นคงที่จับจ้องมายังการทำกิจกรรมของพรรคอย่างหนัก

รายงานระบุว่า ยกตัวอย่างกรณีการลงพื้นที่ที่ จ.ราชบุรี ผู้ว่าฯ ถึงกับโทร.มาหาแกนนำท้องถิ่นที่เข้าร่วมพบปะกับพรรคอนาคตใหม่ ขอให้เลิกจัดกิจกรรมที่เกี่ยวข้องกับพรรค

และการถูกเจ้าหน้าที่ กอ.รมน. ตามติดทีมงานของ อ.ปิยบุตรอย่างหนักที่ จ.สมุทรสาคร จน อ.ปิยบุตรต้องเดินไปหา แต่เจ้าหน้าที่ก็ขับรถหนี แล้วโทร.มายอมรับว่ากำลังติดตามอยู่ อ้างว่าเป็นเรื่องความปลอดภัย หรือกรณี จ.พะเยา ที่มีเจ้าหน้าที่ทหารเต็มยศมาพูดคุย

โดยพรรคอนาคตใหม่มองว่าเหล่านี้คือการถูกคุกคาม หลังแกนนำพรรคกลับ ก็มีเจ้าหน้าที่มาหา หรือมีการเชิญตัวไปพบ ทำให้ประชาชนและแกนนำในท้องถิ่นรู้สึกหวาดกลัว ไม่กล้าต้อนรับแกนนำของพรรคอนาคตใหม่

จนพรรคต้องออกแถลงการณ์ให้เจ้าหน้าที่หยุดคุกคาม

ร้อนถึง พล.อ.เฉลิมชัย สิทธิสาท ผู้บัญชาการทหารบก ต้องออกมาปฏิเสธ และบอกว่าหากมีหลักฐานให้ถ่ายรูปมา จะลงโทษตามกฎหมาย

“ผมเข้าใจดี พรรคอนาคตใหม่ยืนทิศทางที่ตรงข้ามกัน ถ้าเรายิ่งใช้อำนาจเผด็จการก็เป็นการเพิ่มคะแนนนิยมให้เขา เราไม่ทำอยู่แล้ว ผมยืนยันว่าการคุกคามปัจจุบันไม่เกิดผลประโยชน์”

พล.อ.เฉลิมชัยระบุ

 

แต่ถึงกระนั้นก็ยังมีข่าวนายภิศิษฐ์ วงศ์ทอง รองนายก อบต.น้ำพี้ ที่เข้าร่วมกิจกรรมกับอนาคตใหม่ ถูกกดดันจากองค์กรที่สังกัด ระบุว่า นายภิศิษฐ์เข้าร่วมการมั่วสุมชุมนุมทางการเมือง ผิดกฎหมาย ทำให้ล่าสุดนายภิศิษฐ์ตัดสินใจยื่นหนังสือลาออกจากตำแหน่ง จนพรรคอนาคตใหม่ต้องออกแถลงการณ์

“นี่ไม่ใช่กรณีแรกและกรณีเดียวที่สมาชิกและผู้สนับสนุนอนาคตใหม่ถูกคุกคามโดยเจ้าหน้าที่รัฐ เราจึงขอเรียกร้องให้เจ้าหน้าที่รัฐยุติการคุกคามกดดันผู้ที่แสดงออกทางการเมืองตามที่รัฐธรรมนูญให้ความคุ้มครอง และขอเรียกร้องให้ คสช. ยกเลิกคำสั่งห้ามมั่วสุมชุมนุมทางการเมือง 5 คนขึ้นไป และอนุญาตให้พรรคการเมืองทำกิจกรรมได้อย่างเสรี เพื่อให้การเลือกตั้งที่กำลังจะเกิดขึ้นเป็นไปอย่างเสรีและเป็นธรรม” แถลงการณ์ระบุ

ขณะที่จุดยืนของ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ต่อเรื่องนี้ ได้เพียงแต่ออกมาระบุว่า หากไม่ผิดก็ไม่ต้องกลัว เจ้าหน้าที่ต้องติดตามเพื่อเตือนหากมีการกระทำผิดทางกฎหมาย

 

การดำเนินคดีกับพรรคอนาคตใหม่ในครั้งนี้ ปฏิเสธไม่ได้ว่าต้องถูกโยงกับการเมือง เพราะ คสช. คือกลุ่มพลังทางการเมืองกลุ่มหนึ่ง ท่ามกลางกระแสวิจารณ์เรื่องการสืบทอดอำนาจ ทั้งยังเป็นผู้ออกแบบกฎกติกาในการเลือกตั้ง ไล่จนมาถึงข่าวการดูดอดีตนักการเมือง

ซึ่งเรื่องพลังดูด นักการเมืองทั่วไปต่างวิจารณ์ แม้แต่นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ก็ออกมาพูดเรื่องนี้ ระบุว่าคนในพรรคเองก็ตกเป็นเป้า

“ถามว่าเชื่อหรือไม่ว่าการย้ายพรรคไม่มีผลประโยชน์ ยืนยันว่าไม่ใช่ เพราะ 3 เรื่องที่ว่ามา ทั้งเงิน ตำแหน่งรัฐมนตรี และคดีความ ผมรับทราบมาว่ามีการเจรจาเรื่องเหล่านี้จริง คนในพรรคประชาธิปัตย์ตกเป็นเป้าในเรื่องเหล่านี้อยู่” นายอภิสิทธิ์ระบุ

อย่าลืมว่า การเคลื่อนไหวของกลุ่มหนุนรัฐบาลเกิดขึ้นอย่างหนัก ทั้งกลุ่มพลังประชารัฐ กลุ่มสามมิตร พรรคประชาชนปฏิรูป หรือแม้แต่พรรครวมพลังประชาชาติไทย หรือ รปช. ที่นำโดยนายสุเทพ เทือกสุบรรณ นายเอนก เหล่าธรรมทัศน์ นายสุริยะใส กตะศิลา เป็นต้น

กรณีสามมิตร ก็เดินสายอีสานและภาคเหนือ ดูด ส.ส. สำเร็จในหลายพื้นที่ หรือกรณีการลงพื้นที่ของนายสุเทพในพื้นที่ภาคอีสาน ท่ามกลางภาพข่าวคำสั่งการอำนวยความสะดวกและดูแลความปลอดภัยจากเจ้าหน้าที่ตำรวจอย่างเต็มที่ ทุกกลุ่มเคลื่อนไหวได้ ไม่มีเสียงเตือนใดๆ จากรัฐบาล

ผิดกับฝ่ายตรงข้าม คสช. นับตั้งแต่เพื่อไทย ปัจจุบันยังถูกไล่ฟ้องเอาผิด จากการแถลงข่าววิจารณ์รัฐบาลในโอกาสครบรอบ 4 ปีการรัฐประหาร หรือกรณีล่าสุดที่เกิดกับพรรคอนาคตใหม่

 

ทิ้งท้ายด้วยเสียงเตือนเรื่องนี้จากวีระ สมความคิด อดีตแกนนำเสื้อเหลือง ที่มองว่าการเมืองแบบนี้จะก่อให้เกิดความไม่ปรองดองและจะเกิดรุนแรงขึ้นในอนาคต

“นี่คือการปฏิรูปทางการเมืองก่อนการเลือกตั้งใช่ไหม เล่นการเมืองแบบเอาเปรียบกันเช่นนี้ ไม่มีความเป็นธรรมในสังคม ปรองดองเกิดขึ้นไม่ได้”

“ความแตกแยกในสังคมจะทวีความรุนแรงแน่นอน”