‘กรมประมง’ แจงมาตรการรัฐรับซื้อเรือคืน มุ่งบริหารจัดการทรัพยากรให้ยั่งยืน ไม่เอื้อประโยชน์ใคร

​​จากกรณีที่ประธานสมาคมรักษ์ทะเลไทยนำเสนอข่าวผ่านสื่อมวลชนว่า มาตรการซื้อเรือประมงคืนของรัฐบาลไม่ได้ทำให้อวนลากหมดไปจากประเทศไทย โดยจำนวนเรือที่มีการรับซื้อไม่ได้คำนวณบนพื้นฐานของจำนวน
สัตว์น้ำที่มีอยู่ในทะเลเพื่อลดระดับการประมงเกินสมดุล (Over Fishing) ซึ่งเรือประมงที่เตรียมซื้อมีหลายลำเป็นชื่อของผู้ประกอบการขนาดใหญ่ และนายทุนจากประเทศเพื่อนบ้าน ทั้งนี้ รัฐบาลควรจัดการการทำประมงอวนลาก และดำเนินการการฟื้นฟูทรัพยากรทางธรรมชาติตามข้อตกลงการพัฒนาที่ยั่งยืน

​​นายอดิศร พร้อมเทพ อธิบดีกรมประมง เปิดเผยว่า การควบคุมการจับสัตว์น้ำมิให้เกินกว่ากำลังผลิตของสัตว์น้ำตามธรรมชาตินั้น ตามพระราชกำหนดการประมง พ.ศ.2558 และที่แก้ไขเพิ่มเติม มาตรา 36 ได้จำกัดอำนาจในการออกใบอนุญาตทำการประมงว่าจะต้องสอดคล้องกับปริมาณผลิตผลสูงสุดของสัตว์น้ำที่สามารถทำการประมงได้อย่างยั่งยืน ซึ่งกรมประมงได้รับความเห็นชอบกรอบในการออกใบอนุญาตฯ จากคณะกรรมการนโยบายประมงแห่งชาติแล้ว ซึ่งการออกใบอนุญาตครั้งแรกในปี 2559 – 2560 และครั้งที่สองในปีการประมง 2561 – 2562

ก็สอดคล้องกับกรอบดังกล่าว ซึ่งแนวทางดังกล่าวเป็นการจำกัดจำนวนเรือประมงให้สอดคล้องกับศักยภาพการผลิตของท้องทะเล ส่งผลให้มีเรือประมงจำนวนหนึ่งไม่ได้รับใบอนุญาตทำการประมง หากปล่อยให้เรือประมงดังกล่าวอยู่ในระบบต่อไปจะทำให้เกิดความเสี่ยงต่อการทำการประมงที่ผิดกฎหมาย และเป็นการลดผลกระทบต่อชาวประมงที่ไม่ได้รับใบอนุญาตทำการประมงและประสงค์จะออกจากระบบ จึงต้องมีมาตรการนำเรือจำนวนดังกล่าวออกจากระบบ

ดังอารยประเทศดำเนินการ ซึ่งดำเนินการโดยการซื้อเรือคืน โครงการซื้อเรือคืนนั้นได้ถูกบรรจุไว้ในแผนบริหารจัดการประมงทะเล (FMP) ที่คณะรัฐมนตรีได้เห็นชอบไว้ตั้งแต่วันที่ 3 พฤศจิกายน 2558 แผนดังกล่าวเป็นการซื้อเรือที่ไม่มีใบอนุญาตทำการประมงออกนอกระบบ เพื่อไม่ให้มีความเสี่ยงที่จะกลับมาทำประมงผิดกฎหมายอีกต่อไป ซึ่งจะเป็นการลดจำนวนเรือประมงให้สอดคล้องกับกับสภาวะทรัพยากรสัตว์น้ำของประเทศ และเพื่อประโยชน์ในการบริหารจัดการทรัพยากรประมงทะเลอย่างยั่งยืน การจัดซื้อจะดำเนินการในราคาตามสภาพที่แท้จริง แต่จะไม่เกินร้อยละ 50 ของราคากลางที่ได้จัดทำไว้ โดยจะมีการนำเสนอต่อคณะรัฐมนตรีเพื่อขออนุมัติ เรือที่เข้าร่วมโครงการฯ นั้นร้อยละ 80 เป็นเรือขนาดเล็ก ซึ่งคาดว่าจะเริ่มดำเนินการได้ในเดือนสิงหาคมเป็นต้นไป และในส่วนของเรือลำที่ยังมีสภาพดีจะนำไปทำเป็นปะการังเทียมเพื่อฟื้นฟูทรัพยากรสัตว์น้ำของประเทศต่อไป ทั้งนี้ การซื้อเรือคืนถือเป็นการช่วยเหลือให้ผู้ที่แสดงความสมัครใจออกจากระบบการประมงได้มีทุนในการไปประกอบอาชีพอื่น ๆ ซึ่งไม่ได้เป็นการเอื้อประโยชน์ต่อกลุ่มบุคคลใดบุคคลหนึ่ง ทั้งนี้ ในเรื่องการฟื้นฟูและอนุรักษ์ทรัพยากรสัตว์น้ำนั้น กรมประมงและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องได้ดำเนินการในหลายมาตรการควบคู่กันไป เช่น การบริหารจัดการทรัพยากรสัตว์น้ำในฤดูปลามีไข่ วางไข่และเลี้ยงตัวในวัยอ่อน การกำหนดเขตห้ามเรือประมงพาณิชย์เข้ามาทำการประมงในเขตทะเลชายฝั่ง และมาตรการกำหนดวันทำการประมงให้กับเรือที่มีประสิทธิภาพสูงในการจับสัตว์น้ำ เป็นต้น

​​​​​​​​​​
​​สำหรับการทำการประมงโดยใช้เครื่องมือทำการประมงอวนลากนั้น เป็นการใช้เครื่องมือตามที่ได้รับอนุญาตตามกฎหมาย เป็นเครื่องมือที่ใช้ในการจับสัตว์น้ำเป็นการโดยทั่วไปในประเทศต่างๆ แต่เนื่องจากเป็นเครื่องมือทำการประมงที่มีประสิทธิภาพสูงจึงต้องมีการควบคุมประสิทธิภาพ ทั้งในด้านพื้นที่ทำการประมง โดยไม่สามารถทำการประมงในเขตประมงชายฝั่ง (๓ ไมล์ทะเล) ได้ การควบคุมประสิทธิภาพของเครื่องมือโดยการกำหนดมาตรฐานของเครื่องมือ เช่น การควบคุมความยาวของเชือกคร่าวล่าง ต้องไม่เกินตามกำหนดไว้ในใบอนุญาต กำหนดจำนวนถุงอวนในอวนลากบางชนิด หากใช้เครื่องมือที่แตกต่างออกไปจะเป็นความผิดตามกฎหมาย มีการกำหนดขนาดของช่องตาอวนก้นถุงไม่ให้เล็กเกินไป (ต้องเกินกว่า ๔ เซนติเมตร) เพื่อมิให้มีการจับสัตว์น้ำขนาดเล็ก มีการกำหนดควบคุมจำนวนเรืออวนลากและเครื่องมือประสิทธิภาพสูงอื่นทุกชนิดด้วย นอกจากนี้ยังมีประเด็นข้อเสนอจากประมงพื้นบ้าน เรียกร้องให้มีการศึกษาว่าเครื่องมือทำการประมงประเภทอวนลากทำลายทรัพยากรหรือไม่ ซึ่งกรมประมง กลุ่มประมงพื้นบ้าน กลุ่มประมงพาณิชย์ และสถาบันการศึกษา อยู่ระหว่างร่วมกันศึกษาอยู่ หากผลการศึกษาเป็นประการใดก็จะนำมากำหนดเป็นมาตรการต่อไป
การออกใบอนุญาตทำการประมงของเครื่องมือที่มีประสิทธิภาพสูงทุกชนิด จะมีการกำหนดห้วงเวลาในการทำการประมงในแต่ละปี จะต้องไม่เกินที่กำหนดไว้ เช่น เครื่องมืออวนลากฝั่งอ่าวไทย กำหนดไว้ไม่เกินปีละ ๒๔๐ วัน เครื่องมืออวนลากฝั่งอันดามันไม่เกินปีละ ๒๗๐ วัน ซึ่งสอดคล้องกับปริมาณผลิตผลสูงสุดของสัตว์น้ำที่สามารถทำการประมงได้อย่างยั่งยืน ตามที่กำหนดหลักการไว้ตามพระราชกำหนดการประมง พ.ศ.๒๕๕๘ เพื่อให้ทรัพยากรสัตว์น้ำคงอยู่ต่อไปให้ชาวประมงรุ่นต่อๆ ไปสามารถประกอบอาชีพได้อย่างยั่งยืนต่อไป
​​​​​​​​