“ธนาธร” ชูหยุดวงจร “รัฐประหาร” ปลุกฝ่ายปชต.ชนะคูหา 3 ครั้ง ร่าง รธน.ใหม่-ตัดทหารพ้นการเมือง

วันที่ 1 สิงหาคม 2561 ที่ห้องประชาธิปก สถาบันพระปกเกล้า อาคารศูนย์ราชการเฉลิมพระเกียรติ 80 พรรษาฯ ถนนแจ้งวัฒนะ นายธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ ว่าที่หัวหน้าพรรคอนาคตใหม่ ร่วมบรรยายในหัวข้อ “การปฏิรูปพรรคการเมืองกับการพัฒนาประชาธิปไตย” แก่ผู้เข้าอบรมหลักสูตร การเมืองการปกครองในระบอบประชาธิปไตย สำหรับนักบริหารระดับสูง (ปปร.)รุ่น 22 สถาบันพระปกเกล้า โดยระบุว่า ภาพการเมืองไทยหลังการเลือกตั้งที่จะถึงนี้ ถ้าให้สรุปก็คงบอกได้คำเดียวว่าเละ คือนึกไม่ออกว่าจะเอาสังคมไทยกลับสู่ความเป็นปกติได้อย่างไร ในชีวิตตนเองซึ่งปัจจุบันอายุ 40 ปี ผ่านการพยายามทำรัฐประหารทั้งสำเร็จและไม่สำเร็จรวมแล้ว 5 ครั้ง โดยเฉลี่ย 8 ปีต่อหนึ่งครั้ง

นายธนาธร กล่าวว่า หากย้อนดูวงจรก่อนหน้านี้ การทำรัฐประหาร ปี 2534 โดยคณะ รสช. ที่นำมาสู่ความสูญเสียใน ปี 2535 ที่เราเรียกว่าพฤษภาทมิฬ จากนั้น กว่าจะมีสมาชิกสภาร่างรัฐธรรมนูญ หรือ สสร. เกิดกระแสธงเขียวให้ยอมรับรัฐธรรมนูญฉบับปี 2540 และกว่าจะได้เลือกตั้งทั่วไปในปี 2544 รวมแล้ววงจรนี้ใช้เวลาถึง 10 ปี หมายความว่า การทำรัฐประหาร 1 ครั้ง เราต้องใช้เวลาในการพาประเทศไทยกลับสู่ภาวะปกติ กลับสู่ระบอบประชาธิปไตย ต้องใช้เวลาถึง 10 ปี

“สำหรับรอบนี้ นับจากรัฐประหารปี 2549 มาจนถึงปัจจุบัน เราอยู่ในวงจรนี้มาแล้ว 12 ปี และอาจจะใช้เวลาอีก 1 ปีเพื่อไปสู่การเลือกตั้ง แต่อย่างไรก็ตามก็ยังมีสมาชิกวุฒิสภา (สว.) ที่มาจากการแต่งตั้งมีวาระ 5 ปี ซึ่งคร่อมการเลือกตั้ง 2 สมัยเป็นเวลา 8 ปี ดังนั้น เมื่อรวมแล้ว พบว่า ถ้าเราไม่ลุกขึ้นมาทำอะไร เราจะอยู่กับวงจรรอบนี้ อยู่กับวังวนนี้ถึง 21 ปี เป็นอย่างน้อย” นายธนาธร กล่าว

 

นายธนาธร กล่าวอีกว่า รัฐธรรมนูญฉบับปี 2560 ถูกออกแบบมาเพื่อสืบทอดอำนาจระบอบ คสช. ที่แม้ว่าสุดท้าย คสช.จะสลายตัวไปแล้ว แต่ระบอบยังคงอยู่ ภายใต้รัฐธรรมนูญฉบับปัจจุบัน ภายใต้ยุทธศาสตร์ชาติ 20 ปี ฯลฯ ซึ่งล้วนเป็นกลไกที่ออกแบบไว้เพื่อไม่ให้นักการเมืองที่มาจากเลือกตั้งมีสิทธิมีเสียงตามฉันทามติที่ประชาชนให้มาทำงาน ระบอบ คสช.นั้นให้อำนาจฝ่ายตุลาการ และฝ่ายนิติบัญญัติเยอะมาก แต่ให้อำนาจฝ่ายบริหารที่มาจากประชาชนนิดเดียว

ดังนั้น การเกิดขึ้นของอนาคตใหม่ โดยความตั้งใจจริงคือเพื่อนำสังคมไทยออกจากวังวนนี้ เราบอกว่าพอกันทีกับวงจรความขัดแย้งที่เกิดขั้นครั้งแล้วครั้งเล่า เราจึงพูดให้ชัดว่า ไม่ใช่แค่การแก้ไขรัฐธรรมนูญ แต่เป็นการจัดทำรัฐธรรมนูญใหม่ทั้งฉบับ โดยฝ่ายประชาธิปไตยต้องมีเสียงในสภามากพอเพื่อขอแก้ไข ต้องเรียกร้องในสภาให้ สว.เห็นด้วย ทำให้เกิดกระแสกดดันจากสังคม และต่อมาต้องทำประชามติ ว่าต้องตั้ง สสร.ที่มาจากประชาขน เพื่อร่างรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ เสร็จแล้วก็ทำประชามติอีกครั้งเพื่อรับรองรัฐธรรมนูญที่จัดทำขึ้น

“เราจะเห็นว่าเพื่อที่จะล้มรัฐธรรมนูญฉบับปี 2560 ของระบอบ คสช. ฝ่ายประชาธิปไตยต้องชนะในคูหาถึง 3 ครั้ง คือ 1.เลือกตั้งทั่วไป 2.ประชามติจัดทำรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ โดย สสร.ที่มาจากประชาชน และ 3.ประชามติเพื่อรับรองรัฐธรรมนูญ แต่อย่างไรก็ตาม เพื่อจะไปให้สุดทาง ไม่กลับมาเจอวงจรหรือเจอวังวนแบบนี้อีก เราต้องทำอีกขั้นหนึ่ง นั่นคือ ล้มล้างผลพวงของรัฐประหาร เอากลุ่มคนที่มีส่วนร่วมยึดอำนาจไปจากประชาชนมาลงโทษ ดังเช่นที่ประเทศเกาหลีใต้ทำสำเร็จ เอาทหารออกไปจากการเมืองได้” นายธนาธร กล่าว