เปิดข้อตกลงและเงื่อนไข ดาราต้องทำอะไร ? เวลาไปออก “อีเวนต์”

บอกเลยว่าในนาทีนี้ สำหรับเหล่าดาราแล้ว ช่องทางการหาเงินที่ง่าย แถมได้เงินถี่ นอกจากการรับจ้างโพสต์สินค้าผ่านอินสตาแกรม ที่แค่แปะภาพและแคปชั่น ซึ่งทั้งสองอย่างนั้นมีคนเตรียมให้พร้อมสรรพ อย่างดีก็แค่อาจปรับคำเล็กน้อยตามความพอใจ หรือถ้าไม่คิดอะไรมาก ก็ลงไปตามที่ได้มา ซึ่งแบบนั้นน่ะจะยิ่งง่ายเข้าไปใหญ่ และก็รับทรัพย์สบายๆ ในราคาหลายหมื่น ไล่ไปจนถึงเป็นแสนบาทตามระดับความโด่งดังและชื่อเสียง

อีกงานที่ต้องใช้พลังเพิ่ม แต่ก็ได้ผลตอบแทนสูงกว่าก็คือการออกงานอีเวนต์

งานที่มักต้องการคนดังไปร่วมปรากฏตัว ด้วยหวังว่าคนเหล่านั้นจะเป็นแม่เหล็กดึงดูดบรรดาแฟนๆ และผู้สื่อข่าวให้ไปร่วมงาน

ทั้งนี้ ถ้าเป็นอีเวนต์ที่ต้องการแค่ซีนของการไปร่วมงาน พวกเขาและเธอก็มักใช้เวลาประมาณ 2 ชั่วโมงอยู่ที่นั่น ก่อนจะกลับบ้านพร้อมเช็คที่มีตัวเลข 7 หลักนอนอยู่ในกระเป๋า

ส่วนตัวเลขหลักแรกจะเป็น 1, 2 หรือ 3 ก็ขึ้นอยู่กับความดังของชื่อเสียง และความฮ็อตของกระแส ณ ขณะที่จ้าง

ดังนั้น อย่าได้แปลกใจที่อยู่ๆ คนที่เคยได้รับค่าตัวออกงานครั้งละประมาณ 1 แสน 8 หมื่นบาท จะขยับเป็น 2 แสน 5 หมื่นบาท ทันทีที่ละครดังเปรี้ยง

และก็อย่าแปลกใจที่พอเวลาผ่านไปสักระยะ เมื่อกระแสหมุนเวียน และผู้คนเปลี่ยนความสนใจที่ใครอื่น ค่าตัวที่เคยอัพขึ้นไปก็อาจจะไหลลงมา

แต่ก็อย่างว่านะ ถ้าถึงเวลานั้นจะยังมีคนจ้างไหม ก็เป็นเรื่องที่ตอบไม่ได้ ด้วยงานอีเวนต์นั้นไม่ได้มีสำหรับดาราทุกคน หากจำกัดไว้เฉพาะคนที่ฮ็อต อ้อ, หรือไม่ก็เหมาะกับลักษณะของงานจริงๆ อย่างงานอนุรักษ์สิ่งแวดล้อม ดาราที่มีภาพลักษณ์ของการใส่ใจธรรมชาติก็อาจได้รับการชักชวน

ดังนั้น ขณะที่ดาราบางคนวิ่งออก 2-3 งานอีเวนต์ในวันเดียว บางคนกลับไม่มีเลยสักงาน ตลอดระยะเวลาหลายๆ เดือน

ก้อง-ปิยะ เศวตพิกุล นักแสดงที่ปัจจุบันหันไปจับงานอีเวนต์เป็นหลัก โดยร่วมมือกับชุดาภา จันทเขตต์ และท็อป-ดารณีนุช ปสุตนาวิน ตั้งบริษัทโซนิคยูธ 1999 จำกัด ทำมานานถึง 20 ปี เล่าว่า ในส่วนของดาราที่จะมาร่วมงานอีเวนต์ที่โซนิคยูธจัดขึ้นนั้นจะต้องผ่านการพิจารณาจาก 2 ส่วนคือ “ลูกค้าก็เลือกส่วนหนึ่ง เราก็มีส่วนหนึ่งที่จะเสนอเข้าไป”

ยกเว้นแต่ในกรณีที่ลูกค้ามีพรีเซ็นเตอร์ของสินค้าตัวนั้นอยู่แล้ว ที่จะไม่ต้องหาใคร

ส่วนในกรณีที่ไม่มีพรีเซ็นเตอร์แล้วต่างคนต่างเสนอนั้น ก้อง ปิยะ ว่า จะต้องมีการหารือเพื่อให้ได้ข้อสรุป

“มาจอยกันว่าเขาชอบหรือไม่ชอบที่เราเสนอ ลูกค้าบางคนชอบดาราที่มีข่าวดัง มีประเด็น มีกระแส แต่ว่าบางคนไม่ชอบ ชอบที่เป็นภาพคลีนๆ ก็แล้วแต่”

ขณะในส่วนของเขา หลักใหญ่ที่บริษัทยึดถือคือ จะเลือกคนที่ตรงกับคอนเซ็ปต์สินค้า เช่น ถ้าเป็นสินค้าที่เกี่ยวข้องกับผิวพรรณ ประการแรกเลยคือ ดาราที่เชิญมาจะต้องมีผิวสวย

สอง คือทำงานด้วยง่าย เป็นคนมีวินัย

และสาม คือนิสัยดี

“เพราะถ้าวินัยในการทำงานไม่ดี ก็ทำงานด้วยยาก จะเหนื่อยและปวดหัวมากกว่า”

ที่เคยได้ยินมาคือ ในการทำงานที่ดูเหมือนง่าย ใช้เวลาน้อย และได้เงินไวนั้น เอาเข้าจริงก่อนจะทำงานได้ต้องมีการคุยในรายละเอียดอย่างมาก ตั้งแต่เรื่องของเสื้อผ้าที่จะใส่ ไปจนถึงว่าตั้งแต่แรกมา จนถึงเวลากลับ เขาและเธอเหล่านั้นจะต้องปฏิบัติตัวอย่างไร

“เวลาทำงานกับดารา ซูเปอร์สตาร์ เราจะคุยให้ละเอียด บอกเขาให้ครบหมด เช่นว่า เขาต้องทำอะไรบ้าง ขึ้นโชว์ไหม ขึ้นสะลิงไหม ออนสเตจไหม จับสินค้าไหม”

ละเอียดไปถึงขั้น “ต้องถ่ายรูปกับผู้บริหารกี่ช็อต”

“ต้องละเอียดหมดเลย เพื่อว่ามาทำงานกันแล้วจะได้ไม่มีปัญหา ไม่อย่างนั้นมาถึงหน้างานแล้ว ถ้าเราบอกไม่ละเอียด ก็เหมือนหลอกเขามา เอาเปรียบเขา ลักไก่เขา ก็ไม่ดี ทำให้ดาราเขาอึดอัดในการทำงาน”

อย่างไรก็ตาม สิ่งหนึ่งที่ต้องเข้าใจเช่นกันคือ ความยาก-ความง่าย ความน้อย-ความเยอะของงาน ก็มีส่วนสัมพันธ์กับเรื่องของเงิน

ดังนั้น ต่อให้เป็นดาราระดับเดียวกัน เรตค่าตัวปกติเท่ากัน แต่คนที่มาแล้วขึ้นเวที ซึ่งช็อตนี้มักมาพร้อมการถือผลิตภัณฑ์เพื่อถ่ายรูปกับคนที่มาร่วมงานแต่ไม่ได้ขึ้นเวที ค่าตัวของ 2 คนนี้สำหรับงานอีเวนต์นั้นย่อมไม่เท่ากัน

“การจับผลิตภัณฑ์มันก็เหมือนกึ่งๆ เป็นพรีเซ็นเตอร์ ยังไงเรตตรงนั้นก็ต้องสูงกว่า ถ้าไม่ได้ถือผลิตภัณฑ์ก็เหมือนมาร่วมงาน เรตก็ห่างกันเยอะ”

ขณะที่ในกรณีมาแล้วมีการให้สัมภาษณ์นักข่าวหน้าแบ๊กดรอปอันมีทั้งชื่อและโลโก้สินค้าอยู่แน่น โดยแน่นอนว่าก่อนจะไปถึงประเด็นที่นักข่าวต้องการ จะมีการสอบถามเกี่ยวกับงานอีเวนต์ ซึ่งก็ถือเป็นอีกโอกาสดีในการโฆษณาประชาสัมพันธ์สินค้า ก้องก็ว่า เรื่องนี้ก็จะมีการตกลงกันมาก่อน โดยในส่วนคนที่เชิญให้ขึ้นเวที “เขาต้องให้สัมภาษณ์อยู่แล้ว”

แต่ถ้าเป็นคนที่มาร่วมงานเฉยๆ การจะให้สัมภาษณ์หรือไม่ก็ขึ้นอยู่กับความสบายใจของเจ้าตัว

“ดาราบางคนที่ขึ้นเวทีก็จะให้สัมภาษณ์ตรงแบ๊กดรอป แต่ก็ให้สัมภาษณ์เฉพาะเรื่องงาน เรื่องอื่นไม่ให้ แบบนี้ก็มี หรือคนที่ขอให้มีสัมภาษณ์หน้าเวที แต่ไม่ให้สัมภาษณ์ตรงแบ๊กดรอปก็ได้ ก็มีเหมือนกัน เราเจอมาหลายแบบ จนรู้ว่าการที่เขาจะทำหรือไม่ทำอะไร มันก็เป็นเหตุผลของเขา และเราต้องรับเหตุผลของเขาให้ได้ ถ้าไม่ได้เราก็ไม่จ้างเขา จบ”

ส่วนที่ว่ากันว่าความที่เขาเป็นบริษัทใหญ่ แถมยังมีสัมพันธ์อันดีกับดาราหลายคน ดังนั้น เวลาดาราคนไหนมีประเด็นฮ็อต ก็จะโดนขอว่าอย่าเพิ่งให้สัมภาษณ์ที่ไหน ให้รอมาเปิดใจในอีเวนต์ของเขา เจ้าตัวก็ยืนยันว่าไม่จริง

“เราไม่มีการมากำหนดว่าจะต้องมาสัมภาษณ์ในงานของเรา ไม่มี”

“แต่ดาราบางคนจะรู้เองว่าสัมภาษณ์งานนี้แป๊บนึง แล้วถ้าจะคุยต่อ ไปคุยงานพี่ก้อง หรือไปคุยต่องานคนโน้นคนนี้ ซึ่งนี่ก็แล้วแต่เขา”

ฟังอย่างนี้แล้ว คนอ่านข่าวคงไม่ต้องสงสัยอีกต่อไป ว่าทำไมเวลาเกิดเรื่องอันใดแล้วกว่าจะได้ฟังความหรือคำชี้แจงจากเหล่าดารา ก็ต้องรอเวลาที่เขาและเธอไปออกอีเวนต์

อีเวนต์ที่กลายเป็นแหล่งรายได้ใหญ่อีกแหล่งหนึ่ง