ความทรงจำ: ผู้อยู่ในครัว

ฉันยกจานขนมจีนซาวน้ำวางบนโต๊ะ “ได้สับปะรดนางแลฉ่ำๆ มาด้วย” ยิ้มหวาน “แล้วนี่ พริกน้ำปลา เผื่ออยากเติม”

“โห น่ากินมาก”

จะไม่น่ากินได้อย่างไร ขนมจีนซาวน้ำเป็นอาหารที่ฉันทำจนเข้ามือ

ถ้าไม่ได้สับปะรดเหมาะใจ ฉันไม่ทำ

มันต้องฉ่ำ หั่นเป็นชิ้นเล็ก และใส่มากๆ กุ้งแห้งต้องเนื้อหนึ่ง ไม่เค็มไป ล้างให้สะอาด ผึ่งจนแห้ง แล้วจับใส่เครื่องปั่น ปั่นให้ฟู ขิงซอยเป็นเส้นบาง พริกขี้หนูสวนซอยละเอียดยิบ กระเทียมไทยปอกเปลือก ซอยชิ้นบาง

ทั้งหมดนี้คลุกปนกับขนมจีน และน้ำราด ที่แม่เรียกว่าแจงลอน

 

ฉันเคยข้องใจ ทำไมแม่เรียกน้ำกะทิสำหรับราดขนมจีนว่าแจงลอน แต่ก็นั่นละ ไม่ว่าแม่จะเรียกชื่อถูกหรือผิด มันก็เป็นน้ำขนมจีนที่ถูกออกแบบมาให้กินกับสับปะรดอย่างแท้จริง

แจงลอนที่ฉันเคยเจอ มักใส่เนื้อปลากรายปั้นก้อนเล็กๆ แต่บ้านเราใช้หมูสับ หรือถ้าช่วงไหนจน ฉันก็ไม่ใส่หมู ความสำคัญของแจงลอนอยู่ที่กะทิต้องสด เป็นกะทิคั้นใหม่ และความเข้มข้นพอดี หัวกะทิข้นไปสำหรับแจงลอน

ได้มะพร้าวขูดมา ฉันจะคั้นเอง คั้นน้ำเดียว ใส่น้ำมากกว่าคั้นหัวกะทิหน่อย

ถ้าซื้อกะทิสดจากตลาด แม่ค้าแยกหัวหางให้ ฉันใช้หัวทั้งหมด โดยเติมหางลงไปด้วย

ตั้งกะทิด้วยไฟอ่อน คนตลอดเวลา ให้กะทิค่อยๆ ร้อน ใส่รากผักชี กระเทียม พริกไทย (สามอย่างตำรวมกันให้ละเอียด) และเกลือ พอกะทิเริ่มเดือด ค่อยใส่หมูสับ คนต่อจนหมูสุก จึงปิดเตา

แจงลอนควรหอมรากผักชีกระเทียมพริกไทย มีรสหวานมันจากกะทิ เค็มนิดหน่อยโดยเกลือ

ความอร่อยของซาวน้ำ ขึ้นอยู่กับคนกิน ว่าชอบแบบไหน สามารถเลือก จะโรยพริกเท่าไร จะกินกระเทียมมั้ย จะใส่ขิงหรือไม่ จะบีบมะนาวเพิ่มความเปรี้ยวหรือเปล่า

 

แม่เคยบอก คนทำซาวน้ำต้องมีเวลา หรือไม่ก็มีบริวาร เพราะกว่าจะได้กิน เราต้องหั่น ปอก ซอย หลายสิ่งอย่าง

แรกๆ ฉันก็คิดอย่างแม่ เพราะตอนเป็นเด็ก ทุกอย่างยากไปหมด มีดใหญ่ เขียงก็เทอะทะ ทำยังไงจะได้ขิงเส้นฝอยๆ ช่างยากเย็นแสนเข็ญ แต่ถึงวันที่ฉันจับมีดได้มั่นคง และมีทักษะงานครัว ฉันกลับมองว่า ทำซาวน้ำเป็นงานเบามาก เมื่อเทียบกับอาหารชนิดอื่น

ตอนเป็นเด็กฉันเล่นขายของ เล่นหม้อข้าวหม้อแกง จินตนาการว่าตัวเองเป็นแม่ครัว ตอนนี้ฉันก็เข้าครัวด้วยความรู้สึกนั้น ผิดกันตรงที่ ฉันใช้สับปะรดจริง ขิงจริง พริกจริง และอาหารที่ฉันทำ กินได้จริง

งานครัวเป็นความฝันของเด็กหญิง ความปรารถนาที่ไม่จางไปจากใจ

ตั้งแต่เริ่มสาว เริ่มทำอาหารเป็น ฉันอยากมีครัวของตัวเอง ไม่หรูหรา แต่เหมาะกับฉัน รองรับงานหนักได้ ระบายอากาศดี

แต่ในโลกความจริง สิ่งที่เราต้องการ กับสิ่งที่เราได้รับ มักเป็นคนละแบบ

ฉันไม่เคยมีครัวที่ออกแบบเพื่อฉัน มักได้เจอครัวเล็กจ้อย มีอุปกรณ์น้อย แต่นั่นไม่ใช่ข้อจำกัด ฉันทำอาหารกินเองทุกวัน

ค่ะ ฉันฝันถึงครัวกว้างๆ โปร่งๆ คล้ายครัวของยาย แต่ต่อให้ไม่ได้มันมา ฉันก็ยังทำอาหารด้วยความสนุกและความกล้าหาญอยู่ดี

เหวี่ยงมันทิ้งไป คำว่าทำไม่ได้

 

กับอาหารในครัวของเรา ฉันมองเห็นแต่ความเป็นไปได้

งานครัวในชีวิตประจำวันควรเริ่มต้นจากความสนุก ความอยากกิน หากได้ลงมือ ฉันถือว่ามันสำเร็จ ฉันบอกตัวเองทุกครั้งที่ยกอาหารมาวางบนโต๊ะ-ฉันเป็นแม่ครัวที่ประสบความสำเร็จ และพรุ่งนี้ความสำเร็จจะเพิ่มขึ้น

เขาขอขนมจีนซาวน้ำจานที่สอง ฉันตักมาให้ บอกเขา “เคยคิดจะเปิดร้านขนมจีนด้วยนะ คิดตั้งแต่เด็กเลย ถ้าได้ทำ ไม่รู้ป่านนี้จะเป็นยังไง”

หน้าบ้านเก่าของเรามีตึกแถวชั้นเดียวสี่ห้อง แม่ปลูกไว้ให้คนเช่า ทุกครั้งที่คนเช่าเก่าย้ายไป ฉันมองห้องว่างนั้น คิด-ทำไมเราไม่ขายขนมจีน มีน้ำยา แกงเขียวหวาน น้ำเงี้ยว ซาวน้ำ ขนมจีนน้ำพริก แม่ทำอร่อย ฉันจะเป็นลูกมือ (พร้อมเลื่อนเป็นแม่ครัว) ไม่มีค่าเช่าร้าน เสียแต่ค่าแรงคนช่วยงาน จัดร้านให้สะอาดน่านั่ง ขายในราคามิตรภาพ เราต้องอยู่ได้แน่

“มีอะไรเป็นจุดเด่นล่ะ ร้านขนมจีนเยอะมากนะ”

“ยี่สิบกว่าปีก่อน ร้านขนมจีนในเชียงรายแบบที่เราอยากทำไม่มีเลยนะ จุดเด่นของเราเหรอ อร่อยไง” ฉันหัวเราะ

“แค่นี้ยังไม่พออีกเหรอ อร่อยอ่ะ”

 

ขนมจีนซาวน้ำ ใครๆ ก็ทำได้ ถ้ารู้จักไฟ รู้จักกะทิ และไม่เบื่อการหั่นซอย แต่ซาวน้ำของฉันมีความพิเศษที่พริกน้ำปลา ฉันทำน้ำปลาพริกแบบปรุง นอกจากน้ำปลา ฉันบีบมะนาวและใส่น้ำตาลทรายลงไปด้วย ให้มีสามรสแบบเค็มนำ เปรี้ยวตาม หวานรั้งท้าย คนให้น้ำตาลละลายดี จึงใส่พริกซอยกับกระเทียมซอย โดยใช้พริกหลายสีเพื่อความสวยงาม

เครื่องปรุงรสเดียวที่ใส่ลงในน้ำกะทิคือเกลือ รสชาติของขนมจีนซาวน้ำมาจากวัตถุดิบทั้งสิ้น เค็มจากกุ้งแห้ง เผ็ดจากพริก หวานมันจากกะทิ หวานอมเปรี้ยวจากสับปะรด ครั้นได้เติมพริกน้ำปลาสักหน่อย ทุกรสจะถูกดึงขึ้นมา อร่อยขึ้น จี๊ดจ๊าดขึ้น สดชื่นขึ้น

ฉันนึกขึ้นได้ “พริกน้ำปลานี่ละ ท่าไม้ตายของซาวน้ำเรา”

เขาหัวเราะ “ก็จริงนะ และขิงที่กำลังดีด้วย ไม่อ่อน ไม่แก่ไป โอเค เป็นแม่ค้าขนมจีนได้”

 

เป็นแม่ค้าขนมจีนได้

หากประโยคนี้ออกจากปากแม่เมื่อยี่สิบปีก่อน หาก, ถ้า, สมมุติว่า…

เด็กสาวบางคนฝันจะเป็นหมอ เป็นแอร์โฮสเตส หรือเป็นครู และบางคน เช่นฉัน ก็อยากเป็นเจ้าของร้านขนมจีน สำหรับฉันตอนนั้น มันเป็นไปไม่ได้เลย หากแม่ไม่สนับสนุน

ต่อท้ายคำว่าถ้า หมายถึงเรื่องไม่จริง ไม่เคยเกิดขึ้น

ที่เห็นทุกวัน คือฉันผู้อยู่ในครัวเสมอ ไม่ว่าบ้านหลังไหน บ้านของใคร ฉันเปิดตู้เย็น หาวัตถุดิบ หรือไม่ก็ไปตลาด ซื้อของเข้ามาทำอาหารให้คนที่ฉันรัก

เป็นความสุขแท้จริงจากงานครัว ความสุขที่ไม่เคยฝันถึง ไม่เคยไขว่คว้า แต่มันกองแทบเท้าฉัน-เมื่อลงมือทำ