กาละแมร์ พัชรศรี : กินดี (มากไป) ก็ไม่ดี

เจ้าประคุณรุนช่อง!!!!

เพิ่งเขียนเรื่องจุดสมดุลในชีวิต ว่าอะไรที่พอดี อะไรที่อยู่ตรงกลาง ไม่มากไป ไม่น้อยไป มันจึงเป็นจุดสบาย ไม่เครียด ไม่น่าเชื่อว่ามันโยงมาถึงเรื่องอาหารการกินอีกด้วยค่ะ

จากที่บอกว่านอนน้อยไป เกิดความเครียดในบางวัน ทำให้เกิดอาการคันๆ ตามตัว ก็เลยมีคนแนะว่าให้ลองไปตรวจเลือดเพื่อหาว่าตัวเองมีแพ้อาหารแบบแอบแฝงบ้างหรือไม่

เอาจริงๆ ก็อยากตรวจมานานแล้ว เพราะก็อยากรู้ว่าแพ้อะไรบ้าง แต่ก็กลัวรู้ว่าแพ้สิ่งที่ชอบ แล้วทำใจงดกินไม่ได้

แต่คราวนี้คันมาก อยากหายมากกว่า และจะได้แก้ที่สาเหตุด้วย เลยตัดสินใจตรวจ

เขามาเจาะเลือด เอาไปแค่ 2 หลอดเล็กๆ ไม่ต้องงดน้ำ งดอาหารอะไร อีกสัก 5-6 วันรอผลได้

แล้วฉันก็เดินทางไปญี่ปุ่น

 

กินเต็มที่ขรี้เต็มเกงเหมือนอย่างเคย เพราะเป็นอาหารที่เราคุ้นเคยและชื่นชอบ ระหว่างเดินทาง ผลแล็บส่งมาทางอีเมล เปิดดูอยากร้องกรี๊ด ติดว่าเกรงใจห้องข้างๆ

แพ้สิ่งที่ชอบกินทั้งนั้น ประมาณ 90% คือของที่กินแทบทุกวัน แถมกินเยอะเสียด้วย อันได้แก่ ไข่ นมวัว โปรตีนในนมวัว ถั่วบางชนิด ข้าวสาลีซึ่งทำขนมปังเส้นก๋วยเตี๋ยวต่างๆ ยีสต์ในขนมปัง ข้าวโพด ถั่วแดง แต่อันที่เจ็บปวดที่สุดคือ ชาเขียวและช็อกโกแลต!!!

เจ็บปวดใจเหลือเกิน…

ในใจครั้งแรกคิดเลยว่า แล้วเราจะมีชีวิตอยู่อย่างไรโดยไม่มีช็อกโกแลต เพราะเป็นของที่ชอบกินตั้งแต่เด็กยันโต แล้วระยะหลังกินหนักมาก ต้องเข้ม ต้องขม ต้องของแท้ ของจริง กินแบบ dark chocolate แถมใส่ผงคาเคา (cacao) เพิ่มแบบแน่นๆ ต้องสีเข้ม ข้น ขมให้สมอุรา ขนาดไปต่างประเทศยังพกผง cacao ไปชงกินเองอีก เพราะกลัวเจอช็อกโกแลตร้อนแบบปลอมๆ เจือจางเหมือนน้ำล้างจาน

ขนมทุกอย่างก็ต้องกินช็อกโกแลต ไอศกรีมก็ช็อกโกแลต ต้องดำๆๆๆ ไว้ก่อน สีอื่นแทบไม่กิน

ส่วนชาเขียวนี่กินแทนน้ำเลยมั้ง ยิ่งไปญี่ปุ่นนี่ทดลองทุกยี่ห้อ กินทั้งแบบร้อนและเย็น เพราะมีสารต้านอนุมูลอิสระสูง กินอร่อย ชื่นใจ

แล้วก่อนที่ผลจะออก ฉันได้กินของที่ตัวเองแพ้อย่างเต็มที่ รวมถึงเส้นโซบะที่กินไป 28 ถ้วย ซึ่งโซบะทำจากบัควีต เหมือนจะรู้ว่าจะไม่ได้กินอีกยาวนาน

ช็อกโกแลตนี่เต็มคราบมาก เพราะคืนนั้นกินช็อกโกแลตฟองดูว์ แต่ฉันไม่เอาอะไรจิ้มเลยนะ กินแต่น้ำช็อกโกแลตข้นๆ เพียวๆ เลย ตักกินแบบหิวมาก เหมือนต้องสั่งลา

ชาเขียวนี่ไม่ต้องพูดถึง เช้า กลางวัน เย็น ก่อนนอนทีเดียว

เมื่อเรารู้ว่าเราแพ้อะไรบ้าง สิ่งที่ควรทำคือ หยุดกินมันสัก 6 เดือน และมีแบบที่คาบเส้นคือกินได้อาทิตย์ละครั้ง

 

พอเพื่อนใกล้ตัวรู้มีแต่คนขำ เพราะรู้ว่าฉันกินอะไรเหล่านี้เยอะจริงๆ และไต่ถามว่า “แล้วกินอะไรได้บ้าง”

ของที่ไม่แพ้นั้นมีอีกมากมายที่กินได้ เนื้อสัตว์แทบไม่มีปัญหา มีแพ้หอยแมลงภู่กับหอยโข่ง ซึ่งก็ไม่ได้จะพิสมัยอะไรนางนัก นอกนั้นกินไปได้เลย

การปรับตัวต้องมีอย่างแน่นอน เปลี่ยนนมที่กิน เปลี่ยนของว่างหรือสแน็กที่กิน เครื่องดื่มที่กินก็เปลี่ยน ข้าวผัดใส่ไข่ก็ไม่ต้องใส่ ขนมปังเลิกกิน แต่มันก็ดีอย่างที่ทำให้ฉันเลิกกินขนมหวานไปได้ เพราะขนมส่วนใหญ่ใส่ไข่ แป้งสาลี นม น้ำตาล ครบเซ็ต

อยากกินของหวานก็กินผลไม้แทนเอา ต้องไปซื้อของเข้าบ้านใหม่ บางอย่างที่ต้องงดกินก็ยกให้เพื่อน คนรอบตัวไปแทน

เวลาจะกินอาหารก็ต้องถอดสูตรจากสิ่งที่เห็นตรงหน้าว่า เมนูนี้มีอะไรเป็นส่วนประกอบที่เราแพ้หรือเปล่า ตอนนี้ก็ต้องใช้เวลาสักครู่ในการถอดสูตร

จะไปร้านกาแฟก็ต้องหาเมนูเครื่องดื่มที่จะซื้อกินกับคนอื่นได้ ฉันเรียกมันว่า เครื่องดื่มเข้า social คือ กินไปงั้นๆ แหละ เวลาเขาสั่งเราจะได้มีอะไรไว้สั่งบ้าง ก็เป็นพวกชาผลไม้ไป

ไอศกรีมก็ไม่กินแบบที่ผสมนม กินพวกซอร์เบต์ที่ใส่ผลไม้แทน เช่น ไอศกรีมมะพร้าว เป็นต้น ของหวานก็ไม่กินพวกเค้ก กินผลไม้ลอยแก้วแทน

ช็อกโกแลตก็กิน “ผงคาร็อบ” ทดแทน มันเป็นผงชนิดหนึ่งที่หน้าตาและรสชาติคล้ายคาเคา แต่ไม่มีกาเฟอีนและเหมาะกับผู้แพ้คาเคา และแคลอรีน้อยกว่า แม้รสชาติจะไม่อร่อยเท่าแต่ก็พอไหว

อะไรเกิดขึ้นสิ่งนั้นดีเสมอ ฉันรู้เลยว่าฉันต้องได้อะไรบางอย่างจากการแพ้อาหารบางชนิดในครั้งนี้

สนุกและท้าทายมากค่ะ…