สากัจฉา นาคารชุน / เสถียร โพธินันทะ

อาจารย์นาคารชุนกล่าวว่า สังขตธรรม อสังขตธรรม มีสภาพเท่ากับ คือ สูญ (สระวัม, ศูนยะมะ) ไม่มีอะไรที่มีอยู่ เป็นอยู่ด้วยของตัวเองได้อย่างปราศจากเหตุปัจจัยปรุงแต่ง

แม้กระทั่ง พระนิรวาณ

เพราะฉะนั้น อย่าว่าแต่สังขตธรรมเป็นมายา ไร้แก่นสารเลย พระนิรวาณก็เป็นมายาด้วย (เมื่อกล่าวอย่างนี้ท่านผู้อ่านคงร้องขึ้น ไม่ได้ อาจารย์นาคารชุนเป็นมิจฉาทิฏฐิ ยังก่อนท่าน โปรดสงบใจอ่านต่อไป)

สิ่งที่อาจารย์นาคารชุนคัดค้าน ปฏิเสธก็คือ “สิ่งที่มีอยู่ด้วยตัวของมันเอง” ทุกอย่างไม่ว่าจะเป็นอยู่โดยสมมุติหรือปรมัตถ์

ก็สิ่งที่มีอยู่ด้วยตัวของมันเองอยู่นั้นกินความหมายกว้าง รวมทั้งอาตมันหรืออัตตาอยู่ด้วย

แต่เรื่องอาตมันนั้นพระพุทธศาสนาทุกนิกาย (ยกเว้นพวกนิกายวัชชีบุตรและพวกจิตสากล) ก็ปฏิเสธอย่างเด็ดขาด ไม่ยอมให้มีเหลือเศษอะไรอยู่แล้ว

แต่ตามทัศนะของพระอาจารย์นาคารชุน

ท่านอาจารย์เหล่านั้นถึงแม้ปฏิเสธความมีอยู่ด้วยตัวมันเองเพียงแต่อาตมันเท่านั้น แท้จริง ยังไปเกิดอุปาทานยึดสิ่งที่มีอยู่ด้วยตัวมันเองในขันธ์ ธาตุ อายตนะ พระนิรวาณว่ามีอยู่ด้วยตัวของตัวเอง

เห็นว่ามีกิเลสที่จะต้องละ และมีพระนิรวาณที่จะบรรลุ ซึ่งเป็นความเข้าใจผิด

นาคารชุนกล่าวว่า สิ่งที่เราเข้าใจว่ามันเป็นจุดสิ่งสุดท้ายที่มีอยู่ได้ด้วยตัวมันเองนั้น แท้จริงก็เกิดจากปัจจัยอื่นอีกมากหลายปรุงแต่งขึ้น

เมื่อสิ่งทั้งหลายไม่มีภาวะอันใดแน่นอนของตัวเองเช่นนี้ สิ่งเหล่านั้นก็เป็นดุจมายา

สิ่งใดเป็นมายา สิ่งนั้นก็ไร้ความจริง จึงจัดว่าสูญ

นาคารชุนอธิบายว่า สิ่งที่มีอยู่ด้วยตัวของมันเองย่อมบ่งถึงความเป็นอิสระ ไม่ขึ้นอยู่กับสิ่งอื่น จะเปลี่ยนแปลงมิได้

ซึ่งถ้าหากเป็นเช่นนั้นก็เป็นการขัดต่อกฎปัจจยาการของพระพุทธศาสนา เพราะตามกฎแห่งเหตุปัจจัย สิ่งทั้งปวงย่อมต่างอาศัยเหตุปัจจัยจึงมีขึ้น เป็นขึ้น มิได้มีสิ่งหนึ่งสิ่งใดเป็นอยู่โดยโดดเดี่ยว ดังนั้น ถ้าถือว่ามีสิ่งที่เป็นอยู่ด้วยตัวมันเองโดดเดี่ยวเช่นนี้ย่อมจัดเข้าเป็นฝ่ายสัสสตทิฏฐิไป

อนึ่ง ถ้ามีความเห็นว่าทั้งปวงขาดสูญ ปฏิเสธต่อบาปบุญคุณโทษเล่า ก็เป็นอุจเฉททิฏฐิ

หลักธรรมฝ่ายศูนยตวาทินจึงไม่เป็นทั้งฝ่ายสัสสตทิฏฐิก็เพราะแสดงถึงแก่นความจริงว่า สระวัมศูนยะมะ ด้วยความที่ไร้ภาวะที่โดดเดี่ยวโดยตัวมันเอง และไม่เป็นทั้งอุจเฉททิฏฐิหรือนัตถิกทิฏฐิ ก็เพราะแสดงว่าสิ่งทั้งปวงอาศัยเหตุปัจจัย เป็นดุจมายา มีอยู่โดยสมมุติบัญญัติ

ด้วยประการฉะนี้

อาจารย์นาคารชุนกล่าวว่า การหลุดรอดจากปวงทุกข์ต้องทำลายความติดในภาวะ หรือสัตความเป็นอยู่ซึ่งจัดว่าเป็นสัสสตทิฏฐิ

และทำลายความติดในอภาวะ หรืออสัต ความไม่เป็นอยู่ ซึ่งเป็นนัตถิกทิฏฐิเสียนั่นแหละ จึงลุถึงมัชฌิมาปฏิปทา

เพื่อสนับสนุนทางทฤษฎีนี้อาจารย์นาคารชุนยกพระพุทธภาษิตที่ตรัสแก่พระกัจจานะขึ้นอ้างว่า

“ดูก่อน กัจจานะ ข้อว่าสิ่งทั้งปวงมีอยู่ นี้เป็นส่วนสุดข้างหนึ่ง ข้อที่ว่า สิ่งทั้งปวงไม่มีอยู่ นี้ก็เป็นส่วนสุดอีกข้างหนึ่ง

ตถาคต ย่อมแสดงธรรมโดยท่ามกลาง ไม่เกี่ยวข้องส่วนสุดทั้ง 2 นั้น”

เพราะฉะนั้น ศูนยตวาทินจึงเรียกชื่ออีกชื่อหนึ่งว่า “มาธยมิกะ” ซึ่งต่อไปจะเรียกชื่อนี้แทนชื่อเดิม (นั่นก็คือศูนยตวาทิน)

ต่อสังขตธรรมฝ่ายมาธยมิกะมีทัศนะว่า อสังขตธรรมนั้นย่อมไม่มีความเกิดปรากฏขึ้น อันใดความเกิดไม่มีอันนั้นจะมีอยู่อย่างไร อุปมาดังดอกฟ้ากับเขากระต่าย หรือนางหินมีครรภ์ ซึ่งเป็นสิ่งที่ไม่เคยมีในโลก และก็ไม่เคยปรากฏด้วย

อันว่าดอกฟ้านั้นใครบ้างเคยเห็น กระต่ายเกิดมีเขางอกขึ้น รูปปั้นเป็นสตรีเกิดมีครรภ์ขึ้นได้นั้นล้วนเป็นมายา

อนึ่ง ถ้าพระนิรวาณมีอยู่ไซร้ พระนิรวาณก็จักชื่อว่ามีการเกิดขึ้น สิ่งใดมีการเกิดขึ้น สิ่งนั้นย่อมไม่เที่ยง เป็นการขัดกัน

และสิ่งใดหากมีอยู่โดยลำพังตัวเองจะปราศจากการิยรูปหรือคุณภาพมิได้

สิ่งใดมีการริยรูปหรือคุณภาพย่อมบ่งให้เห็นว่า สิ่งนั้นมีการปรุงแต่งอยู่ ดังนั้น จึงสรุปว่า นิรวาณก็เป็นดุจมายาเพราะไม่มีการเกิดขึ้น เหมือนดอกฟ้า เขากระต่ายแลนางหินมีครรภ์

อนึ่ง ถ้าพิจารณาให้ซึ้ง ความเกิด ความดับแท้ก็ไม่มีอื่นกับความไม่เกิดไม่ดับนั่นเอง

พระนิรวาณมิใช่จะเป็นภาวะใดภาวะหนึ่งต่างหากจากปรากฏการณ์ทั้งหลาย หลักปัจจยาการแท้ก็คือ ความไม่เกิด ไม่ดับ

และเป็นทั้งมัชฌิมาปฏิปทาด้วย