เรื่องสั้น : พาดขาข้างหนึ่งไว้บนดวงดาว (ผมมีเรื่องจะเล่าให้คุณฟัง)

พาดขาข้างหนึ่งไว้บนดวงดาว (1) (ผมมีเรื่องจะเล่าให้คุณฟัง)

ผมมีเรื่องจะเล่าให้คุณฟัง คุณตั้งใจฟังผมก่อน อย่าเพิ่งพูด อย่าเพิ่งซักถามอะไร

พาดขาข้างหนึ่งไว้บนดวงดาว ทิ้งตัวนอนบนก้อนเมฆ สองมือประสานหนุนศีรษะ ทอดสายตามองจันทร์เสี้ยว นั่นคือภาพฝันอันแสนสุขในยามที่ผมอยู่กับภาวะโดดเดี่ยว ไม่ต้องการรับรู้อะไร หยุดครุ่นคิดไตร่ตรอง หรือด้วยวิธีการใดก็ได้ที่สามารถผลาญเวลาให้หมดไปวันๆ

ไม่ต้องแปลกใจหรอก คุณก็รู้ว่าฝ่ายปกครองไม่อนุญาตให้ทำอะไรได้ตามอำเภอใจมากนัก ห้ามพูด ห้ามแสดงออก และห้ามคิดต่อต้านฝ่ายปกครอง ผมหมายถึงห้ามทำให้ฝ่ายปกครองรู้ว่ามีความคิดเป็นปฏิปักษ์กับฝ่ายปกครองนั่นแหละ แต่การนอนพาดขาไว้บนดวงดาวนั้นไม่ผิดกฎใดๆ ฝ่ายปกครองไม่ได้ห้าม และผมก็มักจะทำเป็นประจำ

ประเทศนี้กว้างใหญ่ แต่อึดอัดคล้ายอยู่ในที่แคบ เหมือนมีโซ่ตรวนพันธนาการชีวิตตลอดเวลา หลังเหตุการณ์รัฐประหารครั้งล่าสุด แรงบีบคั้นของฝ่ายเดียวกันผลักผมกระเด็นออกจากพื้นที่ซึ่งเป็นเหมือนบ้าน อีกทั้งถูกฝ่ายตรงข้ามถีบส่งมาถึงเมืองชายแดนแห่งนี้ คุณประหลาดใจไหม ที่นี่อยู่แสนไกลจากศูนย์กลางปกครอง แต่กลับเป็นเมืองแออัดที่เต็มไปด้วยผู้คน หลากหลายเชื้อชาติเสียด้วยสิ คุณไม่ต้องตอบนะ ผมแค่ถามลอยๆ

ผมเลือกเช่าห้องพักอยู่ในตรอกเล็กๆ อันแสนวุ่นวาย นอนขดตัวอยู่ในห้องเช่าขนาดพอเหมาะ เอ่อ…คือผมหมายถึงเหมาะกับคนร่างเล็กอย่างผม เป็นห้องทึบไม่มีบานหน้าต่าง เครื่องปรับอากาศใช้งานไม่ได้ พัดลมเพดานเหลือแต่แกนห้อยต่องแต่ง ที่ปลายเตียงมีกระจกบานใหญ่แปะอยู่กับผนัง ถัดไปด้านขวาเป็นห้องน้ำ ริมผนังฝั่งตรงข้ามเตียงนอนติดตั้งชุดอุปกรณ์ทำครัว เครื่องดูดควันเก่าคร่ำแต่ยังคงใช้งานได้ดี ผมกักขังตัวเองไว้ในห้องคับแคบนี้ราวสัปดาห์ ตั้งใจจะลืมทุกสิ่งทุกอย่าง ลืมเหตุการณ์รัฐประหาร ลืมบทเพลงต้องห้าม ลืมฝ่ายตรงข้าม กระทั่งลืมฝ่ายตัวเอง ตั้งใจลืมด้วยการเฝ้าฝันถึงก้อนเมฆ ดวงจันทร์ ดวงดาว บางขณะของห้วงหลับลึก ผมฝันเห็นตัวเองกำลังปีนป่ายบันไดลิงขึ้นไปบนก้อนเมฆ แล้วถูกสายลมแรงกระตุกร่วงลงมา พยายามปีนป่ายอีกครั้งจนขึ้นไปทิ้งตัวนอนกับปุยเมฆขาวได้ จากนั้นเหวี่ยงขาขึ้นพาดดวงดาว นอนผิวปากเย้ยจันทร์จนกระทั่งผวาตื่น

คุณรู้ใช่ไหมว่ายิ่งตั้งใจลืมยิ่งลืมยาก ผมค้นพบคำตอบนี้ในกลางดึกของคืนหนึ่งโดยบังเอิญ ไม่มีที่มา ไม่มีสิ่งใดสะกิดใจ คล้ายตรัสรู้ อยู่ๆ ก็นึกรู้ได้เองว่าการทำใจลืมสิ่งที่เปลี่ยนแปลงวิถีความคิดนั้นลืมยาก สิ่งใดห้ามจดจำยิ่งลืมยาก คำตอบที่ค้นพบทำให้ผมนอนไม่หลับ ล่วงเลยไปจนกระทั่งเกือบสว่าง ผมนอนเปิดตาค้าง จ้องมองเพดาน อยู่อย่างไร้เพื่อนในเมืองไกลบ้านช่างแสนเปลี่ยวเหงา จังหวะหนึ่งแว่วเสียงคล้ายใครบางคนครวญเพลงทำนองคุ้นหู ผมเด้งตัวลุกนั่ง แนบหูกับผนังด้านหัวเตียง ที่สุดก็มั่นใจว่าคำร้องนั้นเป็นบทเพลงต้องห้าม! หากผมนิ่งเฉย เจ้าของเสียงครวญคงถูกจับไปรีดน้ำตาพิสูจน์สีเป็นแน่

ผมตะลีตะลานรุดออกจากห้อง ตรงไปเคาะประตูห้องต้องสงสัย เจ้าของห้องเป็นหญิงวัยรุ่นผลักบานประตูเปิดออก อายุราวสิบแปดถึงยี่สิบปีไม่เกินนี้ เธอวางเฉยทำไม่รู้ไม่ชี้ ลอยหน้าลอยตาถามผมว่ามีธุระอะไร ผมแผ่วกระซิบถามกลับว่าทำไมเธอจึงกล้าร้องเพลงต้องห้าม แม้จะเป็นเมืองชายแดนที่ห่างไกลจากฝ่ายปกครอง แต่คนของฝ่ายปกครองมีอยู่ทั่วทุกพื้นที่ เธอชักสีหน้าประหลาดใจด้วยไม่คิดว่าเสียงเพลงแผ่วเบาจะเล็ดลอดผ่านผนังห้องได้

ผมกระชากเธอเข้ามาในห้องของผม ออกแรงผลักร่างเธอให้นั่งลงที่เตียง กระซิบบอกให้เธอนั่งนิ่งๆ ห้ามพูดอะไร ผมล็อกประตูห้อง ปิดไฟ ย่องไปแนบหูกับผนังฝั่งหัวเตียง สักพักเธอขยับไปแนบหูกับผนังบ้าง ดวงตาสองคู่จับจ้องประสานกัน ในขณะที่ผมเงี่ยหูฟังเสียงความเคลื่อนไหวจากอีกห้อง สายตาสองเราก็กำลังค้นหาความรู้สึกนึกคิดของกันและกัน แววตาขี้เล่นของเธอทำให้ผมเผลอยิ้ม เธอยักคิ้วหลิ่วตาให้ผมในเชิงติดตลก ผมเชื่อว่าถ้าหากเป็นคุณก็คงไม่อาจกลั้นหัวเราะ

ไม่ถึงห้านาที มีเสียงคล้ายลูกบิดประตูถูกกระทุ้ง บานประตูเปิดกระแทกกับผนังห้องดังปัง เสียงเข้มพูดกระโชกออกคำสั่งให้รื้อค้นทั่วทุกมุมห้อง แต่ห้องแคบแบบนั้นกวาดตามองก็รู้ว่าไร้ผู้อาศัย รื้อค้นไปก็เปล่าประโยชน์ ผมนึกขันจึงส่งยิ้มให้เธอ คราวนี้เธอกลับทำหน้านิ่งซ่อนยิ้มในดวงตา เด็กอะไรช่างยั่วยวนอารมณ์ชายได้น่าหลงใหลปานนั้น สักพักเถ้าแก่ชาวลาวเชื้อสายจีนผู้เป็นเจ้าของห้องเช่าและเจ้าของร้านอาหารเวียดนามก็ตะโกนโหวกเหวกโวยวายขึ้น…

ก่อนผมจะเล่าต่อ ต้องออกตัวก่อนว่าที่จริงผมไม่รู้หรอกว่าแกมีเชื้อชาติใดผสมอยู่ในสายเลือดบ้าง บุคลิกท่าทางอย่างชาวจีนโพ้นทะเลและคำบอกเล่าว่าแกข้ามมาจากฝั่งลาวทำให้ผมเข้าใจไปเช่นนั้น ซึ่งหลังจากรู้จักแกได้สักพัก ผมจึงได้รู้ว่าที่จริงแกมีเชื้อสายเวียดนามด้วย ผมจะอธิบายให้คุณฟังในภายหลัง

หลังเสียงเอ็ดตะโรของแกลั่นขึ้น ชั่วครู่ต่อมาผมได้ยินเสียงคล้ายขบวนคอมแบตตบเท้าออกจากพื้นที่ ผมรอสักพักจึงแง้มบานประตู เยี่ยมหน้าออกมองโถงทางเดิน แทรกกายออกจากห้องช้าๆ สืบเท้าย่องไปถึงบันไดทางลงไปสู่เบื้องล่าง เฝ้ามองกลุ่มทหารผ่านกระจกบานเกล็ดจนกระทั่งรถจี๊ปคันหนึ่งทะยานออกจากซอยคับแคบ

ช่วงเวลานั้นเสียงเถ้าแก่เจ้าของห้องเช่าด่าทอและสาปแช่งกลุ่มคนเหล่านั้นแทรกมาเป็นระยะๆ

ทั่วบริเวณคืนสู่ความสงบ ผมกวาดตามองอาคารด้านล่างที่แบ่งเป็นห้องเช่าหลายห้อง เถ้าแก่เจ้าของห้องเช่ายืนเท้าเอวอยู่ด้านหน้า ผมเหลือบมองไปที่ฝั่งตรงข้าม แสงสลัวยามเช้าสาดระบายผนังตึกสีเหลืองมัสตาร์ดที่มีประตูเหล็กสีน้ำเงินเตะตา ใช่…ผมต้องระบุเป็นเหลืองมัสตาร์ด เพราะหากระบุเป็นเหลืองแบบอื่นคงไม่เหมาะกับรูปทรงและความเก่าสมัยของตัวอาคาร ผมเบนสายตาไปตลอดตัวอาคารเก่าอันฉาบด้วยร่องรอยของนักล่าอาณานิคมตัวยงอย่างฝรั่งเศส ท้องถนนที่ทอดทางออกจากซอยแคบมีผู้คนเดินเข้าออกบางตา ผมจ้องมองสักพักจนแน่ใจว่าทหารเหล่านั้นจะไม่หวนกลับมาแล้ว จึงย้อนกลับเข้าห้อง

ผมหย่อนก้นลงนั่งบนเตียง เธอขยับชิดผนังด้านใน แววตาขี้เล่นเลือนหาย คล้ายมีแต่ความตื่นตระหนกสะท้อนออกมา แต่ไม่ต้องสังเกตจริงจังก็รู้ว่าเธอแสร้งทำเป็นหวาดกลัว ที่เป็นเช่นนั้นเพราะเธอคงมั่นใจว่าชายร่างเล็กอย่างผมจะไม่สามารถทำอันตรายเธอได้

“ไม่คิดว่าจะมีใครได้ยินเพลงต้องห้ามที่ฉันร้อง” เธอเอื้อนเอ่ยเบาแผ่ว

ผมทำเป็นไม่สนใจคำพูดนั้น ชิงเอ่ยเชิญให้เธอออกจากห้องทันที และเตือนเธอว่าอย่าร้องเพลงต้องห้ามอีก ผู้นิยมนักปกครองชุดใหม่มีเกลื่อน ง่ายมากที่เบาะแสของฝ่ายต่อต้านจะถูกส่งต่ออย่างรวดเร็ว แต่เธอไม่รับฟัง ทำเมินเฉยแล้วทิ้งตัวนอน เตียงนอนขนาดเล็กสำหรับนอนคนเดียวดูเหมือนจะขยายใหญ่ขึ้นในนาทีนั้น

“ฉันขออาศัยอยู่ด้วยสักวัน เกรงว่าพวกนั้นจะย้อนกลับมาอีก” เธอพูดลอยๆ พริ้มตาหลับ

“ไม่ไปทำงานหรือไง” ผมเอนหลังลงนอน

เธอเปิดตาแล้วหันมาตอบ สองเราใกล้ชิดจนได้กลิ่นลมหายใจ

“ฉันทำงานกลางคืน แล้วคุณล่ะ ไม่เตรียมตัวไปทำงานเหรอ หรือว่าทำงานกลางคืนเหมือนกัน”

ผมตอบเธอว่าผมว่างงาน เธอไม่ซักไซ้ต่อความ ไหล่ที่เบียดกันทำให้เธอต้องพลิกตัวนอนตะแคงหันหลังให้ผม ช่างบังเอิญเหลือเกินที่อยู่ๆ ก็มีหญิงร่างบาง เอวคอด สะโพกผายมานอนเคียงข้าง ผมลอบมองแผ่นหลังของเธอ ภายใต้อาภรณ์บางๆ รัดตึงแนบเนื้อนั้นช่างเย้ายวนใจ จังหวะหนึ่งเมื่อเธอขยับตัว กลิ่นเหงื่อระเหยมากับกลิ่นน้ำหอมจางๆ เธอพลิกกายหันมาสบตา อมยิ้ม ริมฝีปากบางฉาบลิปกลอสเป็นมันวาว ดวงตาโตจ้องมองผมเขม็ง ผมสัมผัสได้ถึงลมหายใจถี่กระชั้น

เธอวางมือลูบไล้บนรอยช้ำที่ลำคอผม

“เจ็บไหม กว่าจะผ่านมันมาได้คงทรมานน่าดู” เธอพูดพลางประสานสายตา

“คุณรู้หรือว่าเป็นรอยอะไร”

“รู้! รอยถูกเชือกแขวนคอ ใครๆ ก็โดนแบบนี้ทั้งนั้น ต้องใช้เวลาหลายเดือนกว่ารอยนี้จะหาย ฉันเดาว่าใครสักคนในครอบครัวคุณคงตกเป็นผู้ต้องสงสัยเกี่ยวกับสีของน้ำตา เหมือนกับที่ฉันตกเป็นผู้ต้องสงสัย แล้วสามีฉันก็ถูกแขวนคอตายไปต่อหน้าต่อตา” เธอพูดตะกุกตะกัก เสียงสั่น ขณะจ้องตาผมไม่ลดละ “…แล้วเมื่อน้ำตาฉันทะลักไหลออกมา ปรากฏว่าน้ำตาฉันไม่มีสี แต่ไม่มีใครรับผิดชอบความตายของสามีฉันเลย พวกนั้นมันบ้า กลัวความหมายในบทเพลงต้องห้าม กลัวพวกน้ำตามีสี เหมือนกับที่ยุคหนึ่งมนุษย์เคยหวาดกลัวเวทมนตร์ กล่าวหาคนเป็นแม่มด ยุคนี้…ในบ้านเมืองนี้ช่างเหมือนกับการล่าแม่มดไม่มีผิด”

“ไม่เหมือนกัน” ผมขัดขึ้น “…เป็นยิ่งกว่านั้น ผู้ต้องสงสัยว่าเป็นแม่มดแค่ถูกบังคับให้เดินเข้ากองไฟ หากร่างไหม้ไฟก็เท่ากับได้พิสูจน์ว่าตนเองนั้นไม่ใช่แม่มด ตัวเองตายโดยที่ไม่ต้องมีใครถูกกระทำด้วย แต่การพิสูจน์สีของน้ำตาซับซ้อนกว่านั้น ญาติพี่น้อง คนรู้จักรักใคร่ต้องเดือดร้อนไปตามๆ กัน มันมีไม่กี่วิธีที่จะพิสูจน์สีของน้ำตาได้ หนึ่งคือทำให้ตื้นตันใจ ประทับใจ หรือดีใจ สองคือทำให้กลัวจนสุดขีด หรือทำให้โศกเศร้าเสียใจจนเกินกลั้น โดยเฉพาะการทำให้สูญเสียผู้เป็นที่รักนั้นทำได้ง่ายที่สุด พวกนี้ไม่คิดหรอกว่า แม้น้ำตาต่างสี ด้วยวิธีนี้ก็เกิดความเศร้าไม่ต่างกันนัก”

“คุณคงรักคนที่คุณหลั่งน้ำตาให้มากเลยนะคะ ฉันเข้าใจดี”

มันง่ายเหลือเกินที่ความเหงาโดดเดี่ยวจะทำให้เผลอไผลอารมณ์ เราสองหยุดการสนทนาเพียงเท่านั้น ตั้งแต่จูบแรกประทับตรึงอารมณ์พิศวาสในชั่วแล่น จากนั้นต่างฝ่ายต่างเร่งเร้าแรงปรารถนาของห้วงกามารมณ์อันพลุ่งพล่าน โลดโผนโจนทะยานอยู่บนเตียงแคบ แม้ว่าบทรักจอมปลอมจะอยู่ในท่วงทำนองเดิมซ้ำๆ แต่ทว่าหมาดใหม่สำหรับสองเรา เป็นกลิ่นของบทรักแปลกใหม่อันแสนประหลาด

เมื่อเราสองนอนกอดกันได้อย่างสนิทใจยิ่งขึ้น ก็ยิ่งง่ายสำหรับคนสองคนจะหลับนอนบนเตียงแคบโดยไม่รู้สึกอึดอัดได้ไปจนกระทั่งเวลาเย็นย่ำ เราไม่ได้คุยกันว่าในอนาคตข้างหน้าจะใช้ชีวิตร่วมกันหรือไม่อย่างไร ไม่มีการเอ่ยถึงความรับผิดชอบที่ฝ่ายหนึ่งฝ่ายใดควรมีต่อกัน

เมื่อย่ำค่ำมาเยือน เธอผุดลุกจากเตียง ขณะนั้นผมยืนอยู่หน้ากระจกบานใหญ่ กำลังสำรวจรอยช้ำรอบลำคอที่เกิดจากการถูกรัดด้วยเชือกขนาดเท่านิ้วก้อย เธอแย้มยิ้มผ่านบานกระจกเงา แล้วจึงเอ่ยขอตัวกลับเพื่อเตรียมตัวไปทำงาน

ผมรู้สึกคล้ายว่ายังต้องการเธอ ไม่ใช่เพราะเรื่องบนเตียง แต่เป็นเรื่องอื่น อย่างน้อยผมกับเธอก็ได้ทำความรู้จักกันระดับหนึ่งแล้ว ได้แต่หวังว่าเธอคงไม่ปฏิเสธสายสัมพันธ์ที่ก่อตัวขึ้นภายในเวลาไม่กี่ชั่วโมง ผมยืนนิ่งอยู่หน้ากระจกบานใหญ่จนกระทั่งเธอย้อนกลับมาเคาะประตูเรียก

“ดูท่าทางคุณชอบส่องกระจกมากเลยนะ เป็นโรคหลงตัวเองหรือเปล่า” เธอเอ่ยกระเซ้า

ผมสั่นศีรษะปฏิเสธ แต่ไม่ได้ตอบอะไร

เราสองเดินเคียงกันออกจากซอยแคบ ผ่านอาคารที่มีสีสันฉูดฉาด สถาปัตยกรรมสไตล์โคโลเนียล ซากของนักล่าอาณานิคมปรากฏอยู่สองข้างทาง

“พวกนักล่าอาณานิคมมักทิ้งร่องรอยไว้ มันสวยงาม แต่ก็เหยียดหยันเราได้ในตัว” เธอลอยหน้าลอยตา ท่าทางเธอไม่ได้จริงจังในคำพูดมากนัก

“แต่เราไม่เคยตกเป็นเมืองขึ้นของใคร” ผมแย้ง กระนั้นก็หัวร่อกลบเกลื่อน

“ใช่ คุณพูดถูก นั่นจึงยิ่งกว่าเหยียดหยันเราเสียอีก พี่น้องฝั่งลาวโน่นไงที่ตกเป็นเหยื่อของพวกนักล่าอาณานิคม เราเพียงรับเอาความเท่เก๋ไก๋ของสิ่งก่อสร้างเหล่านี้มาอีกที มันแปลกไหมล่ะ ที่เราเชิดชูความเป็นเอกราช และยกย่องซากของนักล่าอาณานิคมไปพร้อมๆ กัน”

ผมบอกว่านั่นยังไม่ใช่สิ่งที่น่าเก็บเอามาใคร่ครวญครุ่นคิด ตอนนี้มีเรื่องเกี่ยวกับบ้านเมืองที่น่าคิดยิ่งกว่านั้น เธอถามกลับว่าเรื่องอะไร ผมแสร้งยิ้มก่อนอธิบายว่าคนกลุ่มหนึ่งกำลังล่าอาณานิคมยึดครองพื้นที่ความคิดของพลเมือง

เมื่อสนทนามาถึงตรงนี้ เธอบอกให้ผมหยุดพูด การพูดเรื่องของฝ่ายปกครองในที่สาธารณะนั้นสุ่มเสี่ยงต่อการถูกจับกุม