เครื่องเคียงข้างจอ / วัชระ แวววุฒินันท์/เขียนถึง…อ๊อฟ พงษ์พัฒน์ (ต่อ)

วัชระ แวววุฒินันท์

เครื่องเคียงข้างจอ / วัชระ แวววุฒินันท์

 

เขียนถึง…อ๊อฟ พงษ์พัฒน์ (ต่อ)

 

ฉบับที่แล้วผมค้างคาเรื่องของผู้กำกับฯ นักแสดง นักร้องคนนี้เอาไว้ ว่าจะเล่าต่อในฉบับนี้

ผมหมายถึง อ๊อฟ-พงษ์พัฒน์ วชิรบรรจง

ฉบับนี้ผมจะย้อนเล่าถึงตอนที่เจ เอส แอล ได้เริ่มรู้จักกับเขาคนนี้

อ๊อฟมาสมัครเล่นเกมโชว์ “พลิกล็อค” และด้วยหน่วยก้านของเขา คุณต้น-ลาวัลย์ กันชาติ จึงเอ่ยชวนให้มาเข้าวงการ และอ๊อฟก็สนใจ ไปลาออกจากงานประจำที่ทำอยู่คือพนักงานขายรองเท้ากีฬาทันที

ตอนนั้นอ๊อฟหอบร่างสูงใหญ่บึกบึนมาให้เราขัดเกลา

รูปร่างของเขาไม่เป็นปัญหา เมื่อมากับหน้าตาที่ดูคมสันแบบชายไทย มีคางเหลี่ยมแข็งแรงก็ดูเข้ากันดี ติดที่ดวงตาของเขาไม่เท่ากัน ฟันที่เกนิดๆ และเสียงที่ติดเหน่อแบบคนต่างจังหวัด

เรื่องของกายภาพ เราไม่ได้ปรับเปลี่ยนเขา เพราะไม่ได้เสียหายมาก และในยุคสมัยนั้นผู้ชายก็ไม่ได้นิยมทำศัลยกรรมกัน

แต่เรื่องเสียงนั้นสำคัญ เพราะมันลดทอนความเป็นดาราลงได้

อ๊อฟจึงต้องฝึกพูดใหม่ ให้ไม่ติดเหน่อ และชัดถ้อยชัดคำ

ประกอบกับตอนนั้นเรามีโปรเจ็กต์แล้วว่าจะนำเขามาเล่นเป็นพระเอกละครแฟนตาซีเรื่องใหม่ทางช่อง 3 จึงต้องจัดการเทรนนิ่งความสามารถด้านการแสดงอย่างยิ่ง

เราแคสติ้งพระเอกเป็นเขา และนางเอกเป็นนางแบบที่มีชื่อในยุคนั้นคือ “แดง-ธัญญา โสภณ” นั่นคือทำให้ทั้งสองได้มาเจอกัน จนกระทั่งครองรักเป็นครอบครัวเดียวกันจนบัดนี้

ละครแนวแฟนตาซีที่ว่านี้ชื่อ “เมฆินทร์พิฆาต” มีเอื้อง-ภาสุรี ภาวิไล มาร่วมเขียนบท และกำกับการแสดง หน้าที่ที่เพิ่มเติมขึ้นมาของเอื้องคือ การฝึกฝนการแสดงให้กับกลุ่มนักแสดง

ซึ่งก็ได้มีการฝึกอย่างหนัก จนกินนอนกันที่เจ เอส แอล เลยทีเดียว

และนั่นทำให้นักแสดงของเรื่องสนิทสนมกลมกลืนกันได้อย่างรวดเร็ว

 

สําหรับอ๊อฟ จากนักกีฬาแมนๆ ที่ต้องใช้กำลังเข้าปะทะเวลาแข่งขัน ต้องเปลี่ยนมาเป็นใช้ความรู้สึกข้างใน แล้วค่อยปล่อยออกมาเป็นการแสดงตามความรู้สึกนั้น ของสองอย่างนี้ไม่น่าจะไปกันได้

แต่อ๊อฟก็พากเพียร ตั้งใจ ฝึกฝน จนเขามีทักษะการแสดงได้ดีในระดับหนึ่ง และเมื่อกระโดดสู่กองถ่ายจริงเขาก็มีพัฒนาการขึ้นเรื่อยๆ จากการทำงานจริง

ละครเรื่องนี้ไปปักหลักถ่ายทำกันเป็นเดือนที่อุทยานแห่งชาติเขาใหญ่ ทุกคนจึงใช้ชีวิตคลุกคลีตีโมงด้วยกันตั้งแต่เช้ามืดยันดึกดื่นค่อนคืน

อ๊อฟไม่ได้วางตัวเป็นพระเอก แต่ทำตัวกลมกลืนเข้ากับทีมงานทุกคนได้อย่างดี เขาจึงเป็นที่รักของทีมงานมาก เวลาย้ายกองเขาก็ช่วยแบกข้าวของ เวลามีอะไรขาดเหลือเขาก็ยื่นมือมาช่วย

กับนักแสดงด้วยกันเขาก็มีน้ำใจช่วยเรื่องการแสดงซึ่งกันและกันอย่างดี แม้บางทีเป็นฉากตอนกลางคืนที่หนาวเหน็บ ตัวเขาหมดคิวแล้ว แต่นักแสดงคนอื่นยังมีถ่ายทำอยู่ เขาก็อยู่ร่วมด้วยเป็นกำลังใจให้เพื่อนนักแสดงจนเลิกกองไปด้วยกัน

 

แม้ละครเรื่องนี้จะไม่ได้สำเร็จเปรี้ยงปร้าง แต่ก็ได้แจ้งเกิดนักแสดงหนุ่มที่น่าจับตามองขึ้นมาในวงการคือ อ๊อฟ-พงษ์พัฒน์ วชิรบรรจง รวมทั้งแดง ธัญญา ที่คนได้เห็นความสามารถนอกเหนือจากการเป็นนางแบบอาชีพ

เส้นทางในวงการของอ๊อฟเปิดกว้างแล้ว เราก็ป้อนงานอื่นๆ ให้เขาได้ฝึกปรือ และที่โดดเด่นไม่น้อยคือบทบาทตัวละครที่คนพูดถึงอย่างมาก ในบทของ “แอ๊ด” นักข่าวหัวร้อนจากละคร “เทวดาตกสวรรค์” ทางช่อง 9 เมื่อ 20 ปีก่อน

เรื่องนี้เขาจับคู่กับธเนศ วรากุลนุเคราะห์ ที่รับบท “เทพ” เทวดาที่พลัดติดอยู่ในโลกมนุษย์ระหว่างรอเวลากลับขึ้นบนสวรรค์ และเทพก็ได้ร่วมมาทำงานที่สถานีข่าวกับแอ๊ด ที่รับบทโดยพงษ์พัฒน์

ละครเรื่องนี้ประสบผลสำเร็จอย่างมาก มีกระแสพูดถึงในวงกว้าง เป็นละครน้ำดีที่ดูสนุกได้สาระแง่คิด รวมทั้งคำชมเชยที่ให้กับการแสดงของ 2 ตัวเอก คือธเนศ และพงษ์พัฒน์

อ๊อฟจึงถือว่าได้เกิดเต็มตัวกับละครเรื่องนี้

ถัดจากนั้นเขาก็ตอกย้ำการเป็นคนของประชาชนด้วยอีกบทบาทหนึ่งที่ยิ่งผลักเขาให้ดังเปรี้ยงปร้างในวงกว้างมากขึ้น คือการเป็นนักร้องในสังกัดค่าย “คีตา เร็คคอร์ด”

ด้วยภาพลักษณ์ของหนุ่มมาดกวน เป็นตัวของตัวเอง มั่นใจ พร้อมลุย และแนวเพลงที่ออกแนวสุภาพบุรุษจิ๊กโก๋ ก็ทำให้เขากลายเป็นขวัญใจของวัยรุ่นแนวฮาร์ดคอร์ได้ไม่ยาก

เพลง “ตัวสำรอง” “ฟั่นเฟือน” “ใจนักเลง” “ถึงลูกถึงคน” “อีกนาน” เป็นเพลงฮิตระเบิด ที่ยังมีคนร้องมาจนถึงบัดนี้

เส้นทางในวงการของเขาเปิดสู่การเป็นพระเอกละครของช่อง 7 สี พ่วงไปกับงานเพลงที่ออกตามมาอีกหลายชุด อ๊อฟเป็นคนสนุกกับงานและทำงานเต็มที่ เขาจึงมีงานหนังให้ได้ลับคมเขี้ยวอีกหลายเรื่อง นั่นทำให้เขาได้เรียนรู้ในทุกมิติของงานบันเทิง

โดยเฉพาะบทที่ทำให้เขามีชื่อเสียงอย่างมากก็คือบท “อ๊อตโต้” ในเรื่องพันธุ์หมาบ้า จากนิยายขายดีของชาติ กอบจิตติ รวมทั้งเรื่อง “ดีแตก” และ “ต้องปล้น”

 

อ๊อฟได้กลายเป็นนักแสดงมากฝีมือที่ผู้สร้างและผู้กำกับฯ เลือกเสมอ นั่นทำให้เขาได้พบเจอกับผู้กำกับฯ หลายคน ยิ่งได้เพิ่มพูนประสบการณ์ที่แตกต่างกันออกไป

รวมทั้งภาพยนตร์อภิมหาโปรเจ็กต์ “สุริโยไท” ของท่านมุ้ย-ม.จ.ชาตรีเฉลิม ยุคล เขาก็ได้รับบทสำคัญเป็นสมเด็จพระไชยราชาธิราช

โดยเฉพาะเขาได้กลายเป็นศิษย์เอกคนหนึ่งของหม่อมน้อย – ม.ล.พันธุ์เทวนพ เทวกุล ผู้กำกับฯ ชื่อดังที่ฝากผลงานไว้หลายเรื่อง สังเกตให้ดีว่าจะต้องมีอ๊อฟร่วมแสดงเกือบทุกเรื่องของหม่อมน้อย ทั้งบทนำและรับเชิญ

เช่น เรื่อง “แผลเก่า” “จันดารา” “อุโมงค์ผาเมือง” เป็นต้น

อย่างที่บอกว่าเขาเป็นคนมีความกตัญญู ในงานประกาศรางวัลนาฏราชครั้งแรก ในขณะที่เขาเดินจะขึ้นไปบนเวทีเพื่อรับรางวัล เขาก็ได้แวะกราบที่หม่อมน้อยอีกด้วย

จากคนเบื้องหน้า เขาก็ผันตัวเองมาทำงานเบื้องหลัง ในการเป็นผู้กำกับฯ ทั้งภาพยนตร์และละครโทรทัศน์ ในนามบริษัท แอคอาร์ต เจเนอเรชั่น ซึ่งเป็นบริษัทของเขาเอง ผลงานของเขาก็ประสบผลสำเร็จทั้งเรตติ้ง ความนิยม และกวาดรางวัลมาแล้วมากมาย

ทั้งเรื่อง “รอยไหม” “ทองเนื้อเก้า” “นาคี” “รากนครา”

ส่วนงานภาพยนตร์ อ๊อฟฝากผลงานที่น่าจดจำไว้ให้วงการหนังไทย ด้วยเรื่อง “Me…Myself ขอให้รักจงเจริญ” และเรื่อง “แฮปปี้เบิร์ธเดย์” ที่ขับเอาฝีมือของนักแสดงคู่บุญของเขา “อนันดา เอเวอริ่งแฮม” ให้โดดเด่นออกมา ด้วยการกำกับดูแลของเขา

 

ที่พูดถึงนี้ คงไม่ง่ายเลยที่ใครคนหนึ่งจะทำได้ แต่อ๊อฟทำได้ และพิสูจน์ฝีมือด้วยการทำงานที่ตั้งใจ มุ่งมั่น อดทน มีรสนิยม และพัฒนางานของตัวเองอยู่เสมอ ด้วยความท้าทายต่อความยากต่างๆ ข้อสำคัญคือ เขาเป็นคนมีทัศนคติที่ดีต่อการทำงานในวงการบันเทิงอย่างมาก

และเขาก็ “สอบผ่าน” งานเหล่านั้นมาได้ด้วยเกียรตินิยมอันดับ 1 ก็คงไม่ผิด

ทุกครั้งที่เห็นเขาก้าวขึ้นเวทีเพื่อรับรางวัลแห่งความสำเร็จไม่ว่าจะในเวทีใดๆ ก็อดชื่นชมกับเขาด้วยทุกครั้งไม่ได้ และภูมิใจที่วงการบันเทิงไทยมีคนทำงานคุณภาพแบบเขาคนนี้

อ๊อฟ-พงษ์พัฒน์ วชิรบรรจง