เสถียร จันทิมาธร : เป็นขอทานเฒ่า อั้งชิดกง (55)

เสถียร จันทิมาธร

การพบกันระหว่าง “ผู้เยาว์” กับ “ผู้อาวุโส” บนบรรพตฮั้วซัว คนหนึ่งกระชากเสียงถามว่า “ท่านหัวร่ออันใด” คนหนึ่งยิ้มพลางกล่าวว่า “เจ้าร่ำไห้อันใด”

แรกทีเดียวเอี้ยก่วยบังเกิดความหงุดหงิด ไม่พอใจ

พลันฉุกคิดว่า คนผู้นี้มีพลังฝีมือลึกล้ำสุดหยั่งคาด ดังนั้น ข่มเพลิงโทสะไว้หมอบกราบกรานอย่างนอบน้อม

“ผู้ต่ำต้อย เอี้ยก่วย คำนับผู้อาวุโส”

คนผู้นั้นมือถือไม้เท้าไม้ไผ่ด้าม 1 เขี่ยใส่ต้นแขนเอี้ยก่วยเบาๆ เอี้ยก่วยไม่ทราบมีพลังมหาศาลอันใดคุกคามมาร่างผงะหงายไปด้านหลังอย่างลืมตัว ตามสภาวะความจริงต้องล้มฟาดจนลุกไม่ขึ้น แต่เนื่องจากเคยฝึกปรือลมปราณคางคกซึ่งศีรษะอยู่ล่าง เท้าอยู่บน

ดังนั้น ตีลังกากลางอากาศตามสภาวะ ยังคงยืนหยัดอยู่ได้โดยไร้เรื่องราว

คราครั้งนี้ทั้ง 2 ฝ่ายรู้สึกเหนือความคาดหมายนัก ด้วยพลังฝีมือของเอี้ยก่วยตอนนี้แม้แต่ชนชั้นลี้มกโช้วและคูชู่กีก็ไม่อาจลงมือคราเดียวทำร้ายล้มหลายลง ส่วนคนผู้นั้นเห็นเอี้ยก่วยผงะหงายตีลังกายังยืนหยัดอยู่ได้ต้องประเมินค่าเอี้ยก่วยใหม่

“เจ้าร่ำไห้อันใด”

 

เอี้ยก่วยสำรวจมองอีกฝ่าย เห็นคนผู้นี้เป็นชายชราผมเผ้า หนวดเคราขาวโพลน สวมใส่เสื้อผ้าขาดวิ่นคล้ายเป็นขอทานผู้หนึ่ง แม้เป็นรัตติกาลแต่ภายใต้หิมะขาวบนพื้นขับสะท้อน เห็นคนผู้นี้หน้าแดงเปล่งปลั่ง ท่าทีคึกคักกระปรี้กระเปร่า ในใจบังเกิดความเคารพนบนอบ

จึงกล่าว

“ข้าพเจ้าเป็นคนอาภัพ มีชีวิตอยู่ในโลกนับเป็นส่วนเกิน มิสู้ตายเสียให้หมดเรื่องสิ้นราว”

“ผู้ใดข่มเหงรังแกเจ้า รีบอกต่อกงกงเจ้า”

“บิดาข้าพเจ้าถูกผู้คนทำร้ายถึงแก่ชีวิตแต่ไม่ทราบว่าเป็นผู้ใดทำร้าย มารดาข้าพเจ้าก็ล้มป่วยตาย ในโลกไม่มีผู้ใดเวทนาข้าพเจ้า รักใคร่ข้าพเจ้า”

“กล่าวไปน่าเวทนาเจ้า ซือแป๋ที่ถ่ายทอดวิชาฝีมือแก่เจ้าเป็นใคร”

ได้ยินดังนั้นเอี้ยก่วยครุ่นคิด “กั๊วแป๊ะบ้อเป็นซือแป๋เราในนามแต่ไม่สอนวิชาการต่อสู้แก่เรา เหล่านักพรตโสโครกแห่งสำนักช้วนจินพอเอ่ยถึงยิ่งน่าแค้นใจ อาวเอี้ยงฮงเป็นงี่แป๋เราหาใช่ซือแป๋ไม่ วิชาฝีมือของเราเป็นโกวโกวถ่ายทอดให้แต่นางต้องการเป็นภรรยาเรา นางเป็นซือแป๋เรา นางจะมีโทสะ เฮ้งเตงเอี้ยงโจ้วซือ ลิ้มเซียวเอ็งพั่วพั้วทิ้งเคล็ดวิชาอยู่ในห้องศิลา ไหนเลยบอกว่าเป็นซือแป๋เราได้ เราแม้มีซือแป๋มากหลายแต่ไม่อาจยกอ้างแม้แต่สักคนเดียว”

คำถามของขอทานชราจึงเท่ากับสะกิดความในใจ พลันส่งเสียงร่ำไห้อีกคราร้องขึ้นว่า

“ข้าพเจ้าไม่มีซือแป๋ ข้าพเจ้าไม่มีซือแป๋”

 

จากนั้นกิมย้งจึงอธิบายตามสำนวนแปลของ น.นพรัตน์ คนผู้นี้คือเทพขอทานเก้านิ้ว อั้งชิดกง หลังจากที่ยกตำแหน่งหัวหน้าพรรคกระยาจกให้แก่อึ้งย้งก็ออกท่องเที่ยวเพียงลำพัง

ลิ้มลองอาหารเลิศรสทั่วแผ่นดิน

มณฑลกวางตุ้งอากาศอบอุ่นสบาย มีอาหารแปลกพิสดารมากหลาย เมื่อมาถึงแดนเนี่ยน้ำจึงสมมาดปรารถนา 10 กว่าปีนี้ไม่กลับสู่แผ่นดินตงง้วนอีก

มณฑลกวางตุ้งนำอสรพิษปรุงเป็นน้ำแกง จับแมวตุ๋นใส่โถเคลือบ ปลาช่อนลักษณะคล้ายมุสิก กุ้งใหญ่ขนานนามว่ามังกร หอยนางรมผัด ลูกหมูปิ้งหนังกรอบ อั้งชิดกงคล้ายกับปีนป่ายขึ้นสู่แดนสวรรค์เสพสุขไม่สิ้น

บางครั้งคราพบเห็นเรื่องราวอยุติธรรมก็ลอบยื่นมือช่วยเหลือ “ปราบภัยพาล ประหารมาร”

บางครั้งแอบฟังคำสนทนาของศิษย์พรรคกระยาจกทราบว่าภายใต้การปกครองของอึ้งย้งกับลู่อู่คาพรรคสงบไร้เรื่องราว ด้านกิจการภายในคลี่คลายกรณีพิพาทระหว่างเสื้อสกปรกกับเสื้อสะอาด ด้านภารกิจภายนอกก็ขจัดการรุกรานของทหารไต้กิมกับพรรคมือเหล็ก

ท่านผู้เฒ่าจึงปราศจากความห่วงกังวลอันใด ทุกวี่วันเพียงดื่มสุรารับประทานอาหารลงคอเท่านั้น

การได้พบอั้งชิดกงจึงเป็นโอกาสอันงดงามยิ่งสำหรับเอี้ยก่วย

 

งดงามเพราะการอยู่ร่วมกันในระยะเวลาอันสั้น ร่วมจับตะขาบด้วยกัน ปีนป่ายขึ้นไปบนยอดเขาสูงทะลุฟ้า สร้างความรู้สึกบางอย่างให้กับขอทานผู้อาวุโสอย่างเงียบๆ

บังเกิดความนิยมชมชอบ

ด้วยภูมิรอบรู้ของอั้งชิดกงยังคำนวณแนวทางฝีมือของบุรุษหนุ่มนี้ไม่ออก ในใจคิดซักถามแต่ก็คำนึงถึงอาหารอันโอชะ

เป็นความชมชอบท่ามกลางความสงสัย