การะเกต์ ศรีปริญญาศิลป์ : ทวีปที่สาบสูญ เพื่อมอบรสที่จะค่อยๆ หลอมกลาย

ฉันเรียนรู้มันมาจากไหนกันนะ วิธีที่จะแสดงออกในสิ่งเหล่านี้

วิธีที่จะค่อยๆ ลากไล้ริมฝีปากและปลายลิ้นไปบนเนื้อตัวนุ่มอ่อน ยิ่งสัมผัสความร้อนผะผ่าว ราวมีเหงื่อซึมไหลเหนอะหนะออกมาจากตัว จนสุดท้ายต้องเกลือกปลายนิ้วเข้าไปปลดผ้า

มันเป็นความรู้สึกอย่างไรกัน ฉันพอจะแยกแยะได้ไหม ก้ำกึ่งระหว่างความพึงพอใจ กับอารมณ์นิ่งเย็นชา ทว่าก็ท้าทายพอจะทำมันต่อไป

ฉันเคยเป็นฝ่ายถูกกระทำมาสักกี่ครั้ง แล้วฉันได้กระทำบ่อยแค่ไหน

ดูเหมือนภาพหลายๆ ภาพจะทยอยเข้ามาในห้วงสำนึก

แต่ที่จำหลักลึกที่สุด ชัดที่สุด คือวันนั้น

 

[ฝนยังคงโปรยสายอยู่ไม่ขาด แม้เมื่อรถไต่ขึ้นไปจนสุดเนิน ถึงลานกว้าง แล้วจอดเทียบข้างแปลงดอกไม้

อีพี่สร้อยสายผลักประตูออกมา ร้องสั่งให้รีบขนของลง ชายร่างสูงถอดแว่นตาออกเช็ด จากนั้นคนทั้งสองก็หายไปในบ้านหลังใดหลังหนึ่งที่มองเห็นอยู่ลิบๆ เบื้องหน้า

ทิ้งไว้เพียงฉันกับอัมพร และข้าวของที่สุมหลังรถกระบะ

“ไปกันเถอะ” อัมพรพูด

“ไปไหน” ฉันถาม “ต้องเอาของลงที่ไหน”

“ให้ฝนหยุดก่อน ช่างหัวมัน” อัมพรตอบเช่นนั้น

ทางเดินเป็นบันไดดิน บากเป็นขั้นๆ ฉันยังจดจำในทุกสิ่งอัน

ฝนหล่นลง เดี๋ยวหนักเดี๋ยวเบา ราวเทวดาแกล้ง จนถึงห้องก็ยินเสียงกรูกราวอีกห่าใหญ่

“สงสัยจะหนักอีกนาน” อัมพรลูบหน้าตัวเอง

ฉันยืนอยู่กลางห้อง มองดูรอบตัว แสงสว่างยังพอมีในยามที่เราเปิดประตู แต่พออัมพรเอื้อมไปดึงบานหับ ก็เหลือเพียงความสลัวราง

พอดูออกว่ามีเตียงเล็กๆ หนึ่งหลัง โต๊ะกับเก้าอี้หนึ่งชุด กรอบรูปแขวนติดฝาสองสามใบ แต่ยังดูไม่ชัดว่าเป็นรูปอะไรบ้าง

เสียงเตียงลั่นเบาๆ คราวอัมพรหย่อนก้นลง แล้วนางคนวอกก็ยื่นมือออกมา…

 

ฉันได้ยินเสียงตัวเองกระซิบในหัวว่า “ไม่”

แต่สิ่งที่เกิด ฉันเป็นฝ่ายย่างเข้าไปหาอ้อมตักนั้น พลางตัวสั่นกับฝ่ามือที่ลูบหลัง

“…เธอจะทำไม”

อัมพรมีตาสีอะไรกัน ฉันพยายามจะมองให้ชัดขึ้น แต่ก็ไม่เห็นเลย

“หยุดปากหน่อยดีมั้ย” คำพูดยังฟังหยาบหูเหมือนเคย

“กูอยากเอามึง เข้าใจหรือยัง”

ฉันยังจำได้อีกว่า สิ้นสุดประโยคนั้น ในอกฉันก็อึงอลไปด้วยสิ่งที่ไม่รู้จักมาก่อน

มีถ้อยคำปฏิเสธอีกมากมายแล่นพล่านอยู่ในห้วงสำนึก แต่ทั้งหมดนั้น แค่เหมือนแรงดันอยู่ในเส้นเลือดไหลเวียน สิ่งที่หลุดพ้นออกมาแค่เสียงแผ่วเบา

“…อย่าทำ”

“ทำไมล่ะ?”

อะไรกันที่กำลังกระเพื่อมสั่นไหว กระฉอกอยู่ในตัวฉัน

“มึงอยาก กูรู้”

“…ฉันไม่…”

 

มีลมพัดแรงมากขึ้นด้วยเป็นบางครั้ง ฝนซัดขอบหน้าต่างดังกราวๆ แต่สิ่งเหล่านั้นไม่ได้ทำให้นางปีศาจรามือแต่อย่างใด

หล่อนผลักฉันให้นอนหงายลงบนเตียง จ้วงจาบอย่างหยาบคาย แต่ช่างน่ากลัวยิ่งนัก หล่อนแตะลงตรงไหน ร่างกายฉันก็ตอบรับไปเสียสิ้น

“…กูชอบมึงเหลือเกิน อีพี่”

อัมพรครางออกมา ปากงับและดูดดึงในทุกที่ทุกแห่ง

“มึงมันยั่วเก่งนัก”

“…ฉันไม่ได้ทำอะไร”

“มึงทำ”

อัมพรควานปากเข้ามาอีก ฝ่ามือตะโบมสอดไซร้ แทบสะดุ้งเมื่อรู้สึกถึงการขบฟันอย่างจงใจ

หัวใจฉันลอยคว้าง และในท่ามกลางพายุเหล่านั้น ฉันพยายาม…พยายามจะเรียกเอาสติกลับมา

ใจอีกซีกหนึ่ง หวนหาต่างหูวงใหญ่ นัยน์ตาพริบพราว ราวซ่อนดวงดาวเอาไว้

“…แพรวพลอย”

ปากฉันขับคำออกมา

อัมพรชะงักในนาทีนั้น และมองจ้องเข้ามาในตาฉัน ยิ้มหยัน พูดเสียงลอดไรฟัน

“…กูจะเอามึง จนมึงลืมหมดไม่ว่าหน้าไหน”

 

ฉันแทบด่าวดิ้น กับสิ่งที่นังปีศาจมอบให้ หล่อนตระโบมโถมซัด จนน้ำฝนเนืองนองเข้ามาในห้องอีกมากมาย และชุ่มฉ่ำไปทั้งหมดบนเตียงแคบ

ถ้าจะเปรียบ…

เหมือนทั้งห้องแปรเป็นแอ่งน้ำขังขนาดใหญ่ ฉันเป็นปลาที่พยายามว่ายหนีไปสู่ที่ไหนสักแห่ง แต่สิ้นไร้เรี่ยวแรง ได้เพียงกระเสือกกระสน ร่ำร้องทุรายทุรน ซึ่งจนแล้วจนรอด อัมพรก็ไม่ยอมปล่อยให้พ้นไป

ฉันเหนื่อยอย่างที่สุด หายใจแทบไม่ทัน คิดว่าสรวงสวรรค์อยู่เพียงเอื้อม แต่พอใกล้เข้าถึงก็ถูกดึงให้ห่างออกมา กระทั่งเดือดดาลและเริ่มล้า ก็ถูกปลุกขึ้นใหม่ พาเข้าไปจนชิดประตูเหวนั้นอีก

จน….จนสุดจะข่มกลั้นไว้ได้]

 

“ยะ…อย่าค่ะ”

เด็กผมขอดกำลังกระซิบคำแบบนั้นกับฉัน เฉกเช่นเดียวกัน

“อย่าทำ”

ฉันมองเห็นตาสีลูกหว้านั้นชัดมากขึ้น ในแสงสลัวที่เริ่มชิน หน่วยตาแฝงความหวั่นผวา แต่ก็เปราะบาง เต็มไปด้วยความไม่มั่นใจ

“ทำไม?” ฉันเลียนคำพูดที่เคยได้ยินมาก่อน

เด็กผมขอดไม่ตอบ แต่พลิกหน้าไปเสียอีกทาง

หากแต่นั่น…ปลายขากลับยังคงแยกกว้าง และฉันก็รู้ว่า ฝนกำลังตกมาแล้วอีกเบาๆ

 

ฝนตก มีฝนตกอยู่นอกบ้าน คืนที่ราตรีกาลท่วมท้นไปด้วยสีดำทุกหนทุกแห่ง ฉันได้ยินเสียงฝนที่หล่นลงบนหลังคาใบตองตึง บางส่วนกระทบต้องฝาไม้ มีลมพัดมาแรงๆ ด้วยในบางครั้ง และหวีดหวิวของกระไอเยียบหนาว ก็ผ่านเข้ามาถึงในห้องนอน

ฉันรั้งร่างน้องสาวของรอยขึ้นกอด ดึงขึ้นมานั่งซ้อนตัก และผลักให้แหงนไปข้างหลัง

เพื่อจะฉุดรั้งยอดอกเล็กๆ นั้นเอาไว้ด้วยริมฝีปาก

มีแรงสะเทือน และนั่นไง ความสั่นสะท้านที่ฉันเคยได้สัมผัส เคยรับ เคยเป็น

ยามตกเป็นของเล่นพวกปีศาจ

“…พี่คะ พอเถอะ”

เสียงเด็กผมขอดครวญคราง ฟังเหมือนลูกแมวตัวเล็กๆ ที่กำลังจะไปไหนไม่รอด

ฝนตกหนักลงทุกที

เคยมีฝนตกลงบนตัวฉัน

กับกลีบดอกไม้สามานย์เหล่านั้น

ที่ทำให้ฉันเคยหลงฝัน

ว่าจะได้สิ้นสุดการพเนจร

เคยมีฝนตกลงครั้งแล้วครั้งเล่า

จนซึมเข้าทะลุในเนื้อใจนุ่มอ่อน

แรงกระแทกซ้ำซ้ำ

ซับซ้อน

กระทั่งกลายเป็นเปลวร้อน

ละลายฉัน

ฉันจะต้องไม่เป็นอย่างนั้นอีกแล้ว คนที่อ่อนแอและเอาแต่คอยรับแรงกระทำซ้ำๆ ซากๆ จากคนอื่น เป็นคนโง่เง่า ที่เอาแต่ต้องยอมจำนนรับบาดแผลไว้

ฉันควรจะต้องเป็นคนใหม่

เป็นฝ่ายกำหนดกติกาบ้าง

 

ฉันเคยยินเสียงตัวเองหวีดร้องลั่น ยามที่อัมพรแทรกเข้ามาหมดเนื้อหมดตัว จนเหมือนหมดใจ ฉันลืมตาเบิกกว้าง มองอัมพรอย่างไม่เข้าใจ

[“จำกูไว้นะ อีพี่”

ทุกส่วนของร่างกายสั่นสะเทือน สองขาฉันบิดเป็นเกลียว กล้ามเนื้อเต้นระริกจนต้องโผนตัวแอ่นขึ้นรัดร่างคนสารเลวไว้…]

เด็กผมขอดเบิกตา และราวจะจดจำฉันไปตลอดชีวิตเหมือนกัน ปากสั่นระริก อ้อมแขนกับอ้อมขาสะท้าน และแล้วน้ำตาก็ไหลซึมออกมา

“พะ…พี่ทำอะไรกับปิม”

ฉันชอบเสียงนั้น ให้ตายเถอะ มันเป็นความรู้สึกที่วิเศษจริงๆ

จริงด้วย มันเป็นอย่างนี้เอง

“พี่จะพาปิมไปเที่ยว…”

แล้วกลืนอีกคำเข้าในอก…นรกของเรา

 

ปิมปายุติการผลักไส เหมือนสิ้นการควบคุมในทุกสิ่งอัน เด็กหญิงหอบเสียงร้าวรานในยามฝนกระหน่ำอยู่ข้างนอก

ฟ้าแลบ และฟาดอีกเปรี้ยงลงมา น้องสาวของรอยผวาสุดแรง ขาเกร็งแข็งบิดรัด ช่างคุ้มค่าที่ฉันจะทุ่มเททุกสิ่งลงไป จะมอบให้เด็กหญิงทั้งหมด เพื่อมอบรสที่จะค่อยๆ หลอมกลายเป็นเชือกเส้นใหญ่

ฟั่นล่ามคอเธอไว้กับฉัน