เชิงบันไดทำเนียบ : เช็กหัวใจ ‘บิ๊กตู่’ อ่านใจ ‘3ป.’ คำพูด ‘แทงใจ’ คำชม ‘แฝงพิษ’

“ผมยินดีรับคำด่าทุกวัน มากกว่าคำชมที่เคลือบแฝงไปด้วยยาพิษ ต้องจริงใจต่อกัน”
.
คำตัดพ้อ ‘บิ๊กตู่’พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกฯ เปิดใจสัปดาห์นี้ น่าสนใจไม่น้อย ว่าแม้เป็น ‘คำพูด’ เรียบๆ แต่แฝงไปด้วยความรู้สึกลึกๆของ ‘บิ๊กตู่’ เอง ที่อัดอั้นออกมาต่อสาธารณะ
.
ไม่รวมถึงสัปดาห์ที่ผ่านมา ‘บิ๊กตู่’ ก็ระบายความอัดอั้นออกมาว่าตนเองไม่ใช่ ‘เทวดา’ แต่มี ‘ความเป็นมนุษย์’ อยู่สูง ทั้งโกรธ โมโห และความผิดพลาด ซึ่งเป็นความผิดที่ตนได้ทบทวนช่วงครบ 4 ปี คสช.
.
“ความผิดของผมมีเพียงอย่างเดียวที่ผมรู้คือ ความเป็นมนุษย์ ซึ่งความเป็นมนุษย์จะต้องมีความผิดพลาด มีโมโห มีโกรธ นี่คือความเป็นมนุษย์ของผม เพราะฉะนั้นในการเป็นนายกรัฐมนตรีก็จะต้องมีความเป็นมนุษย์ ไม่ใช่เป็นเรื่องสมมติออกมา ผมเป็นมนุษย์ ผมเป็นคน” พล.อ.ประยุทธ์ กล่าว

จนมีการตีความว่า ‘บิ๊กตู่’ กล่าวในลักษณะแบบนี้ ‘ถอดใจ’ หรือจะหยุดอยู่แค่นี้ หรือไม่ ?
.
แต่ ‘บิ๊กตู่’ ยังคงยืนยันไม่มีถอย เพราะถอยไม่ได้แล้ว ซึ่งเป็นการพูดเปิดใจ ‘ถี่’ ขึ้นเรื่อยๆ อีกสิ่งที่ถูกตีความคือ ‘บิ๊กตู่’ หวั่นถูก ‘เช็กบิล’ ย้อนหลังหรือไม่ ? เพราะอย่างน้อยหาก ‘ลงหลังเสือ’ จาก คสช. ไปแล้ว ยังมีตำแหน่งทางการเมือง ก็ยังพอมีเกราะคุ้มกันตนเอง หรือมีพรรคการเมืองที่ไม่ใช่กลุ่มต้านคสช.ได้ขึ้นมามีอำนาจ หรือพรรคนอมินีคสช. ได้ขึ้นมามีอำนาจ เพราะหากพรรคขั้วตรงข้ามคสช.มีอำนาจ แน่นอนว่ากระบวนการ ‘เช็กบิล’ มีแน่นอน โดยเพราะการล้างมรดกคสช. คือ รธน.2560 นั่นเอง
.
“ผมเองก็อยู่ภายใต้กฎหมายเหมือนทุกคน อย่าคิดว่ามีอำนาจมหาศาล คดีความมากมายรอผมอยู่ แต่ทุกอย่างก็สุดแล้วแต่ เพราะเข้ามาแล้วถอยหลังไม่ได้” พล.อ.ประยุทธ์ กล่าว
.
ทั้งหมดนี้สะท้อนตัวตน ‘บิ๊กตู่’ ได้ไม่น้อย เพราะตั้งแต่เป็นนายทหารใน ทบ. ก็มีบุคลิกชัดเจน ในการแสดงความรู้สึก และพูดตรงไปตรงมา จุดนี้ในช่วงเริ่มต้นยุคคสช. ถือเป็น ‘จุดแข็ง’ ของพล.อ.ประยุทธ์ แต่เมื่อเวลาผ่านมา 2-4 ปี ประชาชนก็คาดหวังกับ ‘บิ๊กตู่’ มากขึ้น ในเรื่องต่างๆที่เกี่ยวกับการแสดงออกที่ไม่ต่างจากการคาดหวังต่อ ‘นักการเมือง’ อีกทั้ง คสช. ก็มีแผลมากขึ้นในช่วงระยะเวลา 4 ปี ที่มาจากคนใกล้ตัวและผู้ใต้บังคับบัญชาของ ‘บิ๊กตู่’ เอง ทำให้กลายเป็น ‘จุดอ่อน’ ไป

สิ่งที่คนใกล้ชิด นายกฯ พูดตรงกันคือ พล.อ.ประยุทธ์ ใส่ใจกับทุกคนและกับงาน กล่าวถึงที่สุด คือ ‘แคร์’ ความรู้สึกคนอื่นมากๆ หรือถ้าไว้วางใจใครแล้ว ก็จะเชื่อใจในการตัดสินใจสิ่งต่างๆหรือแม้แต่การแสดงอาการเศร้าใจกับสิ่งต่างๆ อย่างชัดเจน
.
หากเทียบใน ‘3ป.บูรพาพยัคฆ์’ แล้ว ‘บิ๊กตู่’ อ่านใจได้ง่ายที่สุด เพราะแสดงความรู้สึกหรืออารมณ์อย่างชัดเจน เช่น ครั้งเมื่อเจอพี่น้องทหารที่บาดเจ็บจากการสู้รบริมชายแดน ก็จะแสดงออกผ่านแววตาชัดเจน
.
ไม่ต่างจาก ‘บิ๊กป้อม’พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ ที่จะแสดงอารมณ์ชัดเจน โดยเฉพาะอารมณ์ยินดีหรือดีใจ แต่สภาวะความเครียดจะไม่แสดงออกชัด จนยากจะอ่านใจ เช่นครั้งเรื่องมรสุมนาฬิกาหรู ซึ่งต่างจาก พล.อ.ประยุทธ์ ส่วน ‘บิ๊กป๊อก’พล.อ.อนุพงษ์ เผ่าจินดา จะนิ่งและไม่แสดงความรู้สึกมากนัก ยากจะอ่านใจทั้งดีใจหรือเคร่งขรึม

แน่นอนว่า พล.อ.ประยุทธ์ ก็พยายามเก็บ ‘ความรู้สึก’ นี้ไว้ และยับยั้งการแสดงออกมา เช่นในอดีต ‘บิ๊กตู่’ ก็เคยสัญญาว่าจะอารมณ์เย็นขึ้น พูดจาเพราะขึ้น ไม่หงุดหงิด แม้แต่ ‘ลูกสาว’ ก็เคยให้หินสี กับ ‘คุณพ่อตู่’ มาแล้วเพื่อให้อารมณ์เย็น แต่สุดท้ายก็ต้องเอาไปคืนลูกสาวเพราะตั้งแต่ใส่มาอารมณ์ไม่เย็นลงเลย แต่ ‘บิ๊กตู่’ ก็มี ‘อ.น้อง’รศ.นราพร จันทร์โอชา ภริยา ที่คอยสะกิดเตือนตลอด ด้วยความเป็น ‘ครู’ นั่นเอง และ ‘บิ๊กตู่’ ก็เกรงใจด้วย
.
แต่ทั้ง 3ป. ก็คุยสายตรงกันตลอด สิ่งใดเกิดกับใคร ก็จะรู้กันทั้ง 3ป. ไม่ทันข้ามวัน คำตอบสื่อต่างๆก็ตรงกัน ไปทิศทางเดียวกัน ตามที่ นายกฯ เคยลั่นวาจาะกลางงานวันเกิด ‘บิ๊กป้อม’ จะอยู่ด้วยกันไปทั้งชาติ เป็นอีก ‘กำลังใจ’ ที่ทำให้ ‘บิ๊กตู่’ อยู่ทนมากขึ้น และอดทนกับหลายสิ่งที่ยากควบคุมด้วย
.
โลกแห่งความเป็นจริง !!