ทวีปที่สาบสูญ : เมื่อวานก่อนนี้ โดย การะเกต์ ศรีปริญญาศิลป์

ระริน… ได้ยินหรือเปล่า
บทเพลงเบาๆ ข้างในอกฉัน

ระริน…นางฟ้าของฉัน

…ขอให้ฉันคิดถึงเธอเถอะนะ แม้ฉันจะไม่รู้เลยว่า ตอนนี้เธออยู่ที่ไหนก็ตาม

แสงแดดพร่าระยิบอยู่ในสายตา ฉันนั่งติดระเบียง มองท้องฟ้าที่ห่างออกไป มีลมพัดมาไหวๆ เห็นใบไม้พัดลู่อยู่บนกิ่งก้าน

เสียงนกร้องโต้ตอบกันอยู่สองตัว ฟังดังจะต่อว่าต่อขานกัน ที่ข่วงล่างนั้น คนเดินผ่านอยู่เป็นระยะ ยินว่าวันนี้มีการตัดถาง สะสางต้นไม้ในสวน

อามินกับ “พี่ปัน” เรียกตามที่นางสั่งไว้ ลงไปคุมคนงานแต่เช้าตรู่ ดูแล้วทั้งสองต่างขยันขันแข็งไม่เบา ถึงจะอยู่บ้านใหญ่เป็นนายจ้าง ก็ยังออกแดดออกดำเหมือนคนอื่นๆ

มีแต่ตัวฉันเท่านั้น ผ่านมาเป็นอาทิตย์ ก็ยังอยู่แต่บนเรือน กระถดตัวอยู่ไปมา อย่างมาก ก็ได้เหยียดขาอยู่ใกล้ชานระเบียง

ถอนหายใจด้วยความเบื่อหน่าย

“อีหนู!”

เสียงตะโกนดังขึ้นมา ก้มดู อามินโบกมือให้

“ลงมามั้ย”

อดประหลาดใจไม่ได้ ความที่ก่อนหน้านั้น เจ้าบ้านทั้งสองก็สั่งนักหนาว่า ถ้าไม่จำเป็นก็ยังไม่ต้องลงเรือนไปไหน จับพลัดจับผลูพ่อของระรินรู้ว่าฉันยังอยู่ในนี้ ลางทีจะไม่ยอมจบง่ายๆ

กระถดขยับตัวโดยที่มือยังไขว้หลัง แต่คิดไปไม่สุด เสียงฝีตีนก็กระโดดย่ำขึ้นบันไดมา

ร่างหนาทึบของอามินโผล่มา เหงื่อซ่กเต็มหน้า

“เป็นยังไงบ้าง วันนี้หน้าตาสดใสแล้วนี่”

ฉันยิ้มเจื่อนๆ ขยับตัวอีก

“อ้าว ปวดเยี่ยวหรือ?” อามินถาม

“…เปล่า” ตอบออกไป

“เมื่อยละสิ” ถามพลางยิ้มอีก

ไม่มีทางอื่น นอกจากจะพยักหน้า

“งั้นก็เอี้ยวมา”

 

ฉันอยู่ในเสื้อยืดตัวหลวมๆ สีขาวตุ่นคอย้วย ผ้าซิ่นลายก่านที่นางปันหามาให้ ไม่ได้นุ่งเสื้อชั้นใน กางเกงในก็ไม่มี ยังดีว่าไม่ใช่ช่วงมีรอบเดือน

ผมเผ้าเริ่มยาวบ้างแล้ว ที่ยาวก็ยาว ที่สั้นก็สั้น ครั้นนางปันถามว่าจะเอาแว่นเอาหวีไหม ก็ไม่มีใจจะดูตัวเองสักครั้งเดียว อาจเพราะลึกๆ ฉันยังไม่กล้าแม้จะดูสภาพตัวเอง

“สิ” อามินกระตุ้น

ฉันเบี่ยงตัวให้ มือใหญ่กระตุกปมเงื่อนผ้าออก ที่แขน และที่ข้อเท้า

เมื่อเป็นอิสระ ฉันก็สลัดแขนทั้งสองข้างเบาๆ ถึงอย่างไรก็เมื่อยขบไปหมด

“ปวดแขนละสิ” อามินว่าอีก “ถ้าอยู่ดีๆ ก็ไม่ต้องมัดกันหรอกนะ”

ฉันถูกมัดแขนไว้ด้วยผ้า มัดขาล่ามติดเสาด้วยเชือก

ฉันไม่ได้ตอบคำใด เหตุการณ์นั้นต่อเนื่องมาจากหลายๆ วันก่อนหน้า เมื่ออามินกับยายปินพบเข้าว่า ฉันพยายามจะแขวนคอตัวเองด้วยผ้าปูที่นอน

 

“อีหนู!”

อามินถลันเข้ามา ขณะที่ฉันกำลังปีนอยู่บนเก้าอี้ พยายามจะเหวี่ยงคล้องผ้าขึ้นไปบนขื่อ

“ทำอะไรน่ะ!”

“อี่หน้อย!”

ยายปันพรวดเข้าห้องมาอีกคน แล้วอามินก็รวบตัวฉันลง กระชากผ้าที่พยายามฟั่นอยู่นานออกไป

“ทำอะไรยังงี้ หา!”

ฉันไม่พูด อามินจ้องหน้าฉันอย่างประหลาดใจเหนือความคาดหมาย

ฉันหลับตาลง รอว่า คงจะมีฝ่ามือหรือกำปั้นฟาดมาอีกเป็นแน่…แต่เปล่า เวลาผ่านไปนาน กะพริบลืมตาขึ้น ก็ยังพบสายตาคู่เดิม

“คิดว่าอาจะทำอะไร”

“ถ้าจะตีหนูก็ตีเถอะ” ฉันพูดเบาๆ

มีความโกรธฉายวูบขึ้นในดวงตา แต่แล้วก็กลายเป็นความเวทนาสงสาร…ร่างใหญ่ดึงฉันเข้าไปกอดอีก

ผู้หญิงร่างใหญ่คนนี้มักจะชอบกอดฉัน รัดตัวฉันเอาไว้แน่นๆ แต่ก็เป็นเพียงคนเดียวที่ทำแบบนั้น สำหรับนางปัน ไม่เคยทำเช่นนั้นสักครั้ง

“ทำแบบนี้ทำไม คิดหรือว่าอะไรๆ มันจะดีขึ้น”

“อย่าห้ามหนูเลย…ให้หนูไปเถอะ”

“แล้วไม่คิดบ้างหรือ ว่าคนอื่นจะเดือดร้อน อาจะเป็นยังไง มีคนมาผูกคอตายในบ้าน!”

“งั้นอาก็ให้หนูไปเองสิ หนูไปจากที่นี่ก็ได้”

“ไม่ได้!” ผู้หญิงร่างใหญ่จ้องลึกเข้ามาในก้นตาฉัน “จากวันนี้ไป อาจะไม่ให้เราคลาดสายตาอีก”]

และตั้งแต่นั้น หากจะลงเรือนไป หรือต้องทิ้งฉันไว้เพียงลำพัง ผู้หญิงร่างใหญ่จะมัดแขนมัดขาฉันไว้ ในท่ารวบแขนไขว้หลัง ล่ามข้อเท้าติดกับเสาเรือน

เชือกยาวเท่าที่ฉันจะพอลุกขึ้นยืนได้ แต่ไม่อาจไปถึงขอบระเบียง

ระริน…หลายต่อหลายครั้ง ยามที่ฉันมองดูเชือกมัดแขนขา

ฉันอยากรู้เหลือเกินว่า คนเราเกิดมาเพื่ออะไร

“ไปข้างล่างกันมั้ย” อามินเอ่ยปากถามอีก

“ให้หนูไปได้แล้วหรือคะ”

“ไปกับอาไง ได้สิ”

ผู้หญิงคนนี้ใจดีกับฉันมากนัก แต่ฉันนั้น ควรค่าอะไรกับใครหรือเปล่า

“ถ้าเราไม่ซน ใครเขาจะมัดไว้ เข้าใจหรือเปล่า”

คำพูดฟังเหมือนฉันเป็นเด็กเล็กๆ คนหนึ่ง

“ถ้าไม่ดื้อ ไม่คิดจะทำอะไรบ้าๆ อีก อยากไปไหนก็ไม่มีใครห้ามหรอก”

แต่แล้วมันก็เหมือนเคย เหมือนทุกๆ ครั้ง เหตุการณ์ที่เกิดกับชีวิตของฉัน ราวกับว่าโลกนี้ไม่เคยมีอะไรแน่นอน เราไม่เคยวางแผนอะไรได้

ชั่วจังหวะที่ฉันเดินตามหลังผู้หญิงร่างใหญ่ลงบันได โดยมือจูงฉันเอาไว้ไม่ให้ห่าง ก็ยินเสียงอุทานเบาๆ แล้วเหมือนของหนักกระแทกพื้น ทุกอย่างเงียบงันในชั่วอึดใจ ก่อนอามินจะแผดเสียงลั่นออกมา

ร่างของนางปันกระตุกอยู่บนพื้นซีเมนต์ ใกล้กับยุ้งข้าวหลังใหญ่ คงจะเป็นการลื่นไถลแล้วหัวฟาดลง

ก้อนหินอยู่ใต้หัว

เลือดสีแดงเอ่อซึมออกมา

แล้วทุกอย่างก็โกลาหลขึ้นอีก

 

“อามิน!”

เด็กสาววิ่งถลาเข้ามาในบ้าน เสื้อเชิ้ตสีฟ้าตุ่นดูแปลกตา กับกางเกงยีนส์ขายาว สายตาระรินเลยผ่านฉันไป พุ่งเข้าหาผู้หญิงตัวใหญ่ที่ยืนรออยู่

ใจฉันปวดแปลบขึ้น นอกจากเสียงกลองที่ดังก้องกังวาน พลันที่ฉันเห็นเด็กสาวลงมาจากรถรับจ้าง งูใหญ่ตัวหนึ่งซึ่งอาจขมวดหางนิ่งสงบอยู่ ก็คลี่ขดขึ้นเคลื่อนไหวในอกฉัน

มันทำให้อึดอัด ขยักขย้อน และเฝื่อนขมไปหมดในลำคอ

“ยายเป็นยังไงบ้าง!”

“ปลอดภัยแล้ว” อามินตอบ

“จริงหรือคะ! แล้วตอนนี้อยู่ที่ไหน!”

“ที่โรงพยาบาลสิ” อามินว่า ใบหน้าดูเคร่งเครียด จนเหมือนแก่ลงไปฉับพลันแค่ไม่กี่วันมานี้ “มาถึงกี่โมง อาขอโทษนะ ที่ไม่ได้ไปรับ”

“หนูมาได้ อาไม่ต้องห่วงหรอก” ระรินตอบ “พ่อรู้หรือยัง”

“ไม่ได้บอก”

และเหมือนนานชั่วกัปกัลป์ กว่าที่ตาแสนสวยจะหันมาทางฉัน ทำราวเพิ่งเห็นกันเข้า

“…อ้าว ยังอยู่เหรอ”

ฉันคิดมาตลอดว่า…ถ้าได้เจอนางฟ้าอีกสักครั้ง ฉันอยากจะพูดอะไรกับเธอ

ฉันอาจจะบอกเธอ ว่าแม้จะมีอะไรเกิดขึ้นก็ตาม เธอมีความหมายต่อฉันมาก

และตั้งแต่วันที่เธอไป ฉันไม่เคยหยุดการเขียนถึงเธอในหัวของฉันเลย

แต่บัดนี้ ที่วันนั้นได้มาถึง

เธอถามฉันเช่นนั้น…ยังอยู่อีกหรือ

 

“ค่ะ…ยังอยู่”

ฉันพูดตอบนางฟ้าออกไป แต่เธอไม่ได้รอฟังฉัน เด็กสาวหันกลับไปหาผู้หญิงร่างใหญ่ กอดแขนเอาไว้แนบแน่น

“อาคะ…รินรู้สึกไม่ดีเลย”

เหมือนมีปลายมีดสะกิดมาฉับพลัน…ฉันเกร็งตัวขึ้น หรือมันจะเป็นอย่างนั้น ตัวอัปมงคลแท้จริงยังคงเป็นตัวฉัน ผ่านไปแห่งใด มีแต่เรื่องเลวร้ายเกิดขึ้น

“ไม่เป็นอะไรหรอก…เดี๋ยวเขาก็หาย” อามินตอบ และทั้งสองก็กอดกันไว้ “ไม่ต้องกลัวนะ อาจะทำทุกอย่างให้ดีที่สุด”

ก่อนหน้า เวลาที่อามินกอดฉัน มัดฉัน หรือนางปันเข้ามาช่วยรัดเชือกให้ ฉันไม่เคยสนใจเลยว่า พวกเขาจะทำอะไรต่อไป จักรวาลของฉันคือฉัน ความมืดเท่านั้นที่ดิ้นเร่าเรียกร้องอยู่ข้างใน ทุกอย่างคงจะจบสิ้นลง เพียงแค่ฉันได้พบกับความตาย

ได้พบกับมันเสียที

แต่อยู่ดีๆ วันที่ได้เห็นน้ำตาของนางฟ้าแสนสวยหลั่งไหล และความโศกหมองบนใบหน้ากร้านเกรียมของผู้หญิงร่างใหญ่ ในอ้อมแขนที่ทั้งสองกอดรัดกัน ฉันกลับอยากจะแทรกเข้าไปบ้าง…อยากจะเข้าไปในอ้อมแขนเหล่านั้น

และฉันก็อยากจะบอกกับนางฟ้าว่า ไม่หรอกน่า…คนที่ล้ม…แค่ล้ม…จะต้องไม่เป็นอะไร

เราทุกคนจะไม่เป็นไร

เราจะยังต้องมีชีวิตกันต่อไป เดี๋ยวยายปันก็จะลุกขึ้นมาได้…เหมือนฉันเมื่อวานก่อนนี้