เรื่องสั้น : The Englischer Garten (ตอนแรก)

The Englischer Garten (1)

ผมนั่งอยู่ริมลำธาร อยู่ที่จุดเดิมเป็นวันที่สอง วันนี้วางแผนเรื่องฉี่มาดีกว่าเก่า เรียบร้อยตั้งแต่ก่อนเดินมาที่ใจกลางสวนสาธารณะมหึมา เบียร์ที่หิ้วมาด้วยไม่ต้องยั้งเหมือนวันแรก รู้แล้วด้วยว่าฝรั่งเขาเดินไปแถวพุ่มไม้ไหนกันถ้าไม่ไหวขึ้นมาจริงๆ

เบียร์ที่ว่า คนเขาฮิตกินกัน เป็นเบียร์ครึ่ง ผสมกับนํ้าประมาณสไปรท์อีกครึ่งหนึ่ง มันไม่ได้เมาไปเลยซะทีเดียว กลืนง่ายสบายๆ

ผมเองก็ควรจะรู้สึกแบบนั้น จะว่าไป ผมอาจจะซื้อเพื่อพยายามให้ตัวเองรู้สึกอย่างนั้น ให้เมาพอที่หัวจะโล่งไม่คิดกังวลอะไร และพอสดชื่น ดูหญิง-ชายใส่ชุดว่ายนํ้านอนเฉยๆ กลางแดด ดูครอบครัวเอาอาหารมานั่งกินกัน ดูคนปล่อยหมากระโจนลงนํ้าแป๊บหนึ่ง และว่ายทวนกระแสขึ้นฝั่งเองได้สำเร็จ

ผมเองก็นอนแผ่เหลือกางเกงขาสั้นตัวเดียวรับแดด แต่ภาพในหัวยังเห็นตัวเองใส่แว่นดำและสวมหมวกคลุมมิดชิด นั่นเป็นรูปเซลฟี่ที่ถ่ายเมื่อสามวันก่อน ผมรู้ว่านั่นคือใคร เพราะคือตัวผมเองที่คิดไม่ตกสักทีคือ จะมีทางไหมที่ใครสักคนจะสืบสาวผ่านเลนส์สีเข้ม และรู้ได้ในที่สุดว่าผมเป็นใคร

พูดอีกอย่างก็คือ สองวันที่ผ่านมา การนั่งดูคนนอนอาบแดด หรือหมากระโจนลงนํ้า ล้วนไม่ได้ช่วยอะไร และเบียร์อันนี้ก็อ่อนเกินไป

ผมเพิ่งจะมาตระหนักก็เช้าวันออกเดินทาง เปลี่ยนแปลงอะไรไม่ทันแล้ว เห็นกลุ่มชายหัวเกรียนครั้งแรกในฝันคืนนั้น ผมอยู่ที่ไหนสักแห่งในเกาหลีเหนือ ด้วยเหตุผลอะไรบางอย่าง กำลังพาเพื่อนผู้หญิงสมัยมัธยมคนหนึ่งให้รอดพ้นจากการคุมขัง ทรงผมสั้นเกรียนทำให้ชายทุกคนต่างดูไร้ชีวิต เราวิ่งหนีพวกมันไปตามระเบียงอาคารแห่งหนึ่ง เมื่อได้ระยะห่างพอสมควร ผมพาเพื่อนวิ่งเข้าห้องว่างเปล่า แงะพื้นไม้และสอดตัวลงไปนอนแอบ น่าประหลาดที่ใต้พื้นแคบๆ นี้มีฟูกนุ่มนอนสบาย เรามองรองเท้าบู๊ตของพวกมันที่เดินไปมาผ่านช่องพื้นไม้ ผมสะดุ้งตื่นก่อนจะรู้ว่าสุดท้ายแล้วเราหนีกันสำเร็จหรือเปล่า

เท่าที่จำได้ ยังไม่มีครั้งไหนที่โทร.ไลน์หาพี่ชายตอนเดือดร้อนใจจริงๆ แล้วเขาไม่รับสาย ผมไม่กล้าส่งรูปให้ดู กลัวเขาจะเห็นว่าจริงๆ แล้วเลนส์กันแดดนั้นไม่ได้เข้มสักเท่าไร เขาบอกว่า “บ้า อย่าคิดมาก ไปกินเบียร์ไป” เขารู้ว่านั่นเป็นสิ่งที่ผมต้องการได้ยิน และนั่นคือสิ่งที่ผมจะพูดเหมือนกันหากเขาเป็นฝ่ายโทร.มา

เราพูดว่า “บ้า ไม่เป็นไรหรอก” ใส่กันไปมาตลอดตั้งแต่ไหนแต่ไร ในขณะที่ในใจคิดชั่งนํ้าหนักสถานการณ์ ผมนึกภาพตัวเองสอดพาสปอร์ตที่เครื่องตรวจคนเข้าเมืองอัตโนมัติ เดินไปตรงกลางที่มีรอยเท้าให้ยืนและเงยหน้ามองกล้อง แต่ประตูขั้นสุดท้ายก่อนเข้าประเทศไม่เคยเปิดออก ไม่มีคำว่า “ยินดีต้อนรับ” ปรากฏบนหน้าจอ

ผมติดอยู่ในคอกนั้น กระเป๋าเดินทางเคลื่อนไปบนสายพานรอบแล้วรอบเล่า อ้างว้าง ไม่มีใครสนใจ

ระหว่างรอขึ้นเครื่องบิน ผมยกเบียร์ซดหลายอึกรวดเร็ว ไม่สนแล้วว่าราคาในสนามบินแพงแค่ไหน ฝันร้ายครั้งเดียวทำให้เปลี่ยนไปได้ขนาดนี้ ทั้งๆ ที่เมื่อวันก่อนเพิ่งตกปากรับคำอย่างคึกคะนอง

ในร้านอาหารแอร์เย็น แต่ยังรู้สึกถึงชื้นเหงื่อตอนสะดุ้งตื่นเมื่อเช้ามืด พยายามมุ่งสมาธิไปที่เบียร์เย็นที่ค่อยๆ ไหลลงคอ ใช้เวลาที่เหลือทวนชื่อและประวัติที่มาตัวเองใหม่

ผมชื่อกรรชัย แจ้งชัยสิทธิ์ ไม่… ผมชื่อเอกวุฒิ ชัยสิทธิประภา เป็นนักศึกษาที่มีความสนใจเข้าฟังเสวนา มีโอกาสได้มาเยี่ยมพี่สาวที่เรียนอยู่ที่นี่พอดี ป้าก็ทำงานอยู่ร้านอาหารไทยที่เมืองนี้ด้วย เดินผ่านมาเห็นโปสเตอร์โฆษณากิจกรรมเลยลองมาถามดู ไม่รู้จริงๆ ว่าต้องลงทะเบียนมาก่อน

จู่ๆ นักบินกลุ่มหนึ่งก็หยุดเดินและยืนอยู่เฉยๆ หน้าร้าน พวกเขาถอดหมวกที่ดูโก้หรูออกพร้อมกัน เสยผมอย่างไม่จำเป็นเพราะต่างก็ตัดผมสั้นเนี้ยบ ก่อนจะเริ่มออกเดินต่อ ทุกอย่างเกิดขึ้นเร็วจนเป็นแค่อีกรายละเอียดเล็กๆ ธรรมดาในชีวิตประจำวัน แต่ขณะเดียวกัน ท่วงท่าพวกเขาพร้อมเพรียง ดูไม่เป็นธรรมชาติจนรู้สึกเหมือนซักซ้อมมาไม่รู้กี่ครั้ง เป็นฉากฉากหนึ่งในละครเวทียิ่งใหญ่

นี่เป็นครั้งแรกที่ผมเริ่มคิดว่าบนเครื่องบินอาจมีห้องอะไรอีกมากมายที่ผู้โดยสารทั่วไปไม่เคยรู้ คงมีห้องนอนสำหรับลูกเรือเวลาต้องบินกันยาวๆ อาจมีห้องนั่งเล่นเล็กๆ ให้พวกเขามานั่งเล่นไพ่ กินเบียร์ และสูบบุหรี่กันเวลาพักสักครึ่งชั่วโมงหรือชั่วโมงหนึ่ง

ตั้งแต่เดินขึ้นเครื่อง ผมสังเกตเห็นห้องนํ้าห้องหนึ่งที่ไม่เคยมีใครใช้ เครื่องไต่ระดับจนนิ่งและปลดเข็มขัดได้ก็แล้ว เสิร์ฟอาหารเสร็จก็แล้ว มีคนยืนต่อคิวรอแต่ห้องนํ้าห้องอื่น

นี่อาจเป็นห้องลับอีกห้องหนึ่ง มันอาจเป็นห้องขังเดี่ยวสำหรับผู้โดยสารที่เมาจนไม่ได้สติ ก่อนเครื่องขึ้น ประตูห้องนักบินที่เปิดแง้มไว้เผยให้เห็นนักบินแวบหนึ่ง เขาตัดผมสั้นเช่นกัน แต่ดูเหมือนไม่ใช่เพราะถูกใครบังคับ หน้าตาเขาซูบตอบ ดูหงุดหงิด และไม่รู้ว่าต้องการอะไรในชีวิต เขาเป็นคนเดียวที่สามารถตัดสินใจว่าผู้โดยสารคนไหนเมาเกินไป ต้องนำไปกักตัวไว้ในห้องนั้น เช่นเดียวกับที่สามารถอัพเกรดที่นั่งให้ใครสักคนเป็นเฟิร์สต์คลาสได้

ผมจ้องประตูห้องนั้นที่ไม่มีใครสนใจ จ้องไปเรื่อยๆ จ้องจนเห็นผู้ชายผอมโซข้างใน เขาติดอยู่ในนั้น ไม่ว่าเครื่องจะลงกี่ที จอดพักที่ประเทศไหน อาจจะผ่านไปเป็นวัน เป็นอาทิตย์ หรือเป็นหลายเดือน ไม่มีหน้าต่าง มีเพียงกระจกบานใหญ่ให้มองหน้าตัวเองตลอดเวลา เขายิ้มกับตัวเอง ไม่มีอะไรให้ทำมากนักนอกจากนั่งเฉยๆ นั่งหลับลุกขึ้นมายืนหน้ากระจก และพยายามยิ้มกับตัวเอง

รอยยิ้มเห็นฟันที่ดูไร้เดียงสา จริงๆ แล้วมันทั้งดุดันและมีความหวังไปพร้อมๆ กัน

หรือจริงๆ แล้วไม่มีใครอยู่ในนั้น คงมีคนเข้า-ออกตลอดเวลา แต่เป็นตอนที่ผมมองไปทางอื่น ก็เท่านั้นเอง

ช่วงนั้นเองที่ผมเริ่มคิดว่าคนเราต้องนึกถึงคนอื่นแค่ไหนกัน หมายความว่า แบ่งกันไปเลยว่า 24 ชั่วโมง ผมต้องคิดถึงคนอื่นกี่ชั่วโมงถึงจะนับว่าเหมาะสม ผู้โดยสารที่นั่งข้างๆ เริ่มจามไม่หยุด ผมต้องหยุดหนังที่กำลังดูอยู่มันๆ และไปหาทิชชูให้หรือเปล่า

คำว่า คนอื่น แยกย่อยลงไปได้อีก คนอื่นที่ไม่รู้จักกัน กับคนอื่นที่เป็นคนรู้จัก แต่คนที่เดินสวนกันบนท้องถนน พนักงานในร้านสะดวกซื้อที่เห็นหน้ากันทุกวัน เรารู้จักกันหรือเปล่า ผมนึกภาพชายผอมโซในห้องนํ้าห้องนั้น เขาอาจจะรุ่นราวคราวเดียวกับผมก็ได้ ผมเห็นหน้าเขาชัดขึ้นเรื่อยๆ แต่ต้องชัดแค่ไหนเราถึงจะรู้จักกัน รอยยิ้มเห็นฟันที่ว่า ผมอาจจะได้เห็นขึ้นมาจริงๆ ก็ได้ หากเราเป็นเพื่อนกันแล้วออกไปนั่งกินเบียร์ด้วยกันสักวันหนึ่ง

ผมแค่คิดขึ้นมาแค่นั้น อาจจะต้องเป็นสองชั่วโมงต่อวัน อาจจะแค่ครึ่งชั่วโมง หรือผมไม่ต้องหยิบทิชชูให้คนข้างๆ ก็ได้เพราะเดี๋ยวเขาก็หายจามไปเอง ส่วนห้องห้องนั้นก็เป็นห้องนํ้าธรรมดา และผมไม่จำเป็นต้องไปเดือดเนื้อร้อนใจ ไม่ต้องกระโดดถีบพังประตู เพียงเพื่อจะพาสิ่งที่ไม่มีอยู่ให้ได้ออกมา

“เมื่อวันก่อน” ผู้พูดเริ่มขึ้น “ผมไปเดินเล่นที่สวนสาธารณะ สวนกับผู้ชายคนนึงที่กำลังจูงหมาตัวใหญ่ จู่ๆ มันก็เกิดโมโห เริ่มเห่าและพยายามกระโจนเข้าหาผมสุดแรง จะซัดขาผมให้ได้ มีแค่สายจูงเท่านั้นที่รั้งมันไว้”

การเสวนาเริ่มต้นไปแล้วสักพักหนึ่ง ผมเข้าไปนั่งเงียบๆ ท้ายห้องที่มีคนราว 20 คน ผู้พูดเป็นชายค่อนข้างสูงอายุ และแม้จะก้มดูโพยตรงหน้าเป็นระยะๆ มันฟังดูไม่ใช่สิ่งที่เขาเตรียมไว้ และก็ไม่ใช่หัวข้อการพูดคุยที่ว่าไว้ในโปสเตอร์เลยสักนิด

“มีแค่สายจูงเท่านั้นที่รั้งมันไว้” เขาพูดซํ้าอีกครั้ง เชื่องช้า

ตกลงแล้วผมชื่อนี้ เอกวุฒิ ชัยสิทธิประภา เป็นนักศึกษาที่มีความสนใจเข้าฟังเสวนา มีโอกาสได้มาเยี่ยมพี่สาวที่เรียนอยู่ที่นี่พอดี ป้าก็ทำงานอยู่ร้านอาหารไทยที่เมืองนี้ด้วย เดินผ่านมาเห็นโปสเตอร์โฆษณากิจกรรมเลยลองมาถามดู ไม่รู้จริงๆ ว่าต้องลงทะเบียนมาก่อน

“ผู้ฟังครับ อยากจะถามแค่คำถามเดียววันนี้ แล้วพอแล้ว สรุปผมต้องกลัวหมาหรือคนที่จูงหมากันแน่?”

“หมาก็แค่หมา เดรัจฉาน” เขาก้มหัวเล็กน้อย ยกมือขึ้นเหมือนเป็นเชิงขอโทษใครก็ตามที่รักหมา “กิน ขี้ เยี่ยวนอนไปวันๆ แล้วถ้าวันนั้นผมถูกมันกัดขึ้นมาจริงๆ นั่นคือใครทำ หมาเอง หรือเจ้าของมัน”

อาจเป็นนํ้าเสียงที่ราบเรียบแต่ดุดันนั้นที่ทำให้ผมอึดอัด พร้อมกับหลายคนในห้องที่เริ่มยกมือถือขึ้นถ่ายเก็บบรรยากาศ

เขาย้ำอีกหลายครั้ง เดรัจฉาน เดรัจฉาน ไม่มีสมอง วอนขอให้คนเลิกยึดติดกับความคิดที่ว่า “คนกัดคือเจ้าของเขี้ยว” ให้เลิกใส่ใจพาดหัวหนังสือพิมพ์ประเภท “หมาโหดกัดคนตาย” เสียที

“เราเห็นซํ้าแล้วซํ้าเล่าจนคิดว่านั่นคือความจริง แล้วเจ้าของหมาล่ะครับ แล้วสายจูงล่ะครับ สายจูงอยู่ไหน?”

รู้ตัวอีกที ในห้องก็มีคนเพิ่มขึ้นอีกเกือบเท่าตัว ทั้งๆ ที่ผมพยายามสังเกตทางเข้า-ออกตลอดเวลา คนยืนเบียดกันแน่นขนัด ทำให้ผมเห็นแค่มือผู้ฟังแถวหน้าคนหนึ่งที่ยกสูงขึ้น เขาเริ่มต้นด้วยการขอโทษผู้พูดที่ต้องขอขัดจังหวะ

“อาจารย์เคยอ่านทฤษฎีวิวัฒนาการสัตว์ที่ว่าหมาก็คือสิงโตเมื่อเกือบล้านปีก่อนรึเปล่าครับ” เขาตะโกนถามขึ้น “ครับ… ฮ่าๆ โอเค มันไม่มีหรอก ผมแค่มั่วขึ้นมาเล่นๆ น่ะครับ ฮ่าๆ แต่ก็อยากถามอยู่ดีนะครับ ถ้านี่เป็นเรื่องจริง อาจารย์ว่าสิงโตมันตายไปแล้วจริงๆ เหรอครับ หมายถึงว่าถ้าตายจริง จะสรุปง่ายๆ ว่าบารมีมันไม่อยู่ในหมาแล้วเหรอครับ หมาก็แค่หมา ไม่มีสมอง ใช่ แต่ความไม่รู้ไม่ใช่เหรอครับที่เรากลัว จากที่เคยวิ่งเล่นกอดกันคลอเคลีย วันนึง เราไม่รู้ว่ามันจะหันมาขย้ำเราจนเละในวันถัดมา ถ้าผมฆ่าหมาได้วินาทีนี้ อาจารย์จะยังกลัวสายจูงอยู่รึเปล่า ผมถามจริงๆ”

“ท้ายที่สุดแล้ว เราไม่ได้ไปใช้สวนสาธารณะกันได้ทุกคน เพราะสายจูงที่วางอยู่บนพื้นเฉยๆ งั้นเหรอครับ ผมยังไม่รู้เลยด้วยซํ้าว่าสวนสาธารณะที่ว่าคือที่ไหน”

ผมไม่รู้ว่าเสียงตะโกนด่าอย่างโกรธเกรี้ยวจากกลุ่มคนฟังกำลังมุ่งเป้าไปที่ใคร ผู้พูดหรือผู้ฟังคนนั้น แต่มันเริ่มขึ้นแล้ว ผมเซฟที่อัดเสียงในโทรศัพท์ และค่อยๆ ลุกขึ้น ตอนนี้เองที่เห็นกลุ่มชายผมสั้นเกรียนค่อยๆ แทรกตัวเข้ามาจากประตูด้านหน้า จะว่าไป อาจเป็นห้องลักษณะนี้ที่ผมหนีออกมาในฝันเมื่อคืนก่อน ในห้องเต็มไปด้วยผู้คนที่ผมไม่เคยเห็น พวกเขาตะโกนด่าพร้อมกับยกมือถือถ่ายเหตุการณ์ทุกอย่างอย่างตะกละตะกลาม ราวกับการบันทึกนี้จะกลายเป็นสิ่งของที่แสนมีค่าเข้าวันใดวันหนึ่ง ความเกรี้ยวกราดบ่งบอกถึงความมีชีวิต แต่อีกมุมหนึ่ง มันก็ทำให้คนสิ้นชีวิตลง เป็นซอมบี้ตรงเข้าซัดคนต่างพวกอย่างหน้ามืดตามัว

มือถือทำหน้าที่ของมัน ให้อำนาจกับผู้ครอบครอง และทำให้ผู้ถูกบันทึกภาพหวาดกลัว ต่างคนเบือนหน้าหนีราวกับมันคือปลายกระบอกปืน ผมโดนชกเข้าหมัดแรกตอนพยายามยกมือปัดมือถือของคนข้างๆ ที่เลื่อนถ่ายมา ผมเซไปกระแทกคนข้างหลัง ก่อนจะถูกกระโดดถีบส่งมาที่เดิม ถูกต่อยเข้าที่ท้องอีกสองครั้ง เข้าหน้าซํ้าอีกหนึ่งครั้ง แล้วก็ล้มลงไป

จากมุมล่าง คราวนี้ผมมองเห็นรองเท้าผ้าใบธรรมดา ไม่ใช่รองเท้าบู๊ต ที่แตกต่างอีกอย่างคือ วันนี้ไม่มีพื้นไม้คอยกั้น และที่ที่ล้มตัวลงไม่ใช่ฟูกนุ่มๆ นอนสบาย