จับตามะกันแตกหักรัสเซีย

AFP PHOTO / TIMOTHY A. CLARY

จับสัญญาณไม่สู้ดีมาตั้งแต่ต้นว่าจะยังคงไม่มีอะไรดีขึ้นจากข้อตกลงหยุดยิงในประเทศซีเรีย ซึ่งตกอยู่ในวังวนของสงครามกลางเมืองอันโหดร้ายมาเนิ่นนานถึงเกือบ 6 ปี ที่มี นายจอห์น แคร์รี รัฐมนตรีต่างประเทศสหรัฐอเมริกา และ นายเซรเก ลาฟรอฟ รัฐมนตรีต่างประเทศรัสเซีย เป็นตัวแทนของ 2 ชาติมหาอำนาจ ที่เข้ามาผสมโรง ลงนามกันไว้เป็นหลักประกันความสงบชั่วคราวที่กรุงเจนีวา ประเทศสวิตเซอร์แลนด์ เมื่อช่วงต้นเดือนกันยายนที่ผ่านมา

ทว่า ข้อตกลงหยุดยิงนี้กลับล้มพังพาบลงอย่างไม่เป็นท่าภายในสัปดาห์เดียวกัน

ด้วยเหตุที่ว่าตัวแสดงหลักที่เกี่ยวข้องในสนามความขัดแย้งนี้ไม่เพียงไม่หยุดการกระทำอันเป็นการละเมิดข้อตกลงสงบศึกเท่านั้น

หากแต่ยังมีการโจมตีฝ่ายตรงข้ามอย่างดุเดือด

ที่ท้ายสุดไม่พ้นพลเมืองตาดำๆ ที่ต้องบาดเจ็บล้มตายลงไปอีกจำนวนมาก

 

จากกระแสข่าวที่มีออกมาเมื่อกลางสัปดาห์ก่อน บอกว่านายแคร์รีและนายลาฟรอฟ ต่อโทรศัพท์สายตรงพูดคุยกันมาโดยตลอดถึงสถานการณ์ปัญหาในซีเรียและการปฏิบัติตามข้อตกลงหยุดยิง เพื่อหวังจะลดความรุนแรงและเปิดเส้นทางให้องค์กรบรรเทาทุกข์นำความช่วยเหลือด้านมนุษยธรรม ซึ่งรวมถึงอาหารและยารักษาโรคเข้าไปให้ถึงมือประชาชนที่ตกเป็นเหยื่อสงครามในพื้นที่ที่มีการสู้รบกันอย่างหนัก ระหว่างกองกำลังรัฐบาลซีเรียกับกลุ่มกบฏต่อต้านรัฐบาลประธานาธิบดี บาชาร์ อัล-อัสซาด ของซีเรียได้ โดยเฉพาะในเมืองอเลปโป เมืองใหญ่สุดของซีเรีย ที่กลายเป็นจุดยุทธศาสตร์สำคัญที่พื้นที่ส่วนหนึ่งกองกำลังรัฐบาลซีเรียที่มีรัสเซียให้การสนับสนุน คอยควบคุมเอาไว้อยู่ และอีกส่วนหนึ่งกลุ่มกบฏต่อต้านรัฐบาลที่มีสหรัฐหนุนหลังครอบครองไว้ได้ส่วนหนึ่ง

แต่การเจรจาดังกล่าวยังไม่ก่อผลคืบหน้าในทางที่ดี

ส่งผลให้เปิดมาต้นสัปดาห์นี้ ฝ่ายสหรัฐโดยนายแคร์รีออกมาแถลงยุติความร่วมมือทางการทูตกับรัสเซียในกรณีปัญหาซีเรีย

ขณะที่รัสเซียก็ออกมาตอบโต้ในทันทีด้วยการประกาศระงับการปฏิบัติตามสนธิสัญญาว่าด้วยอาวุธนิวเคลียร์ที่รัสเซียและสหรัฐลงนามทำกันไว้ในปี ค.ศ.2000

ซึ่งเป็นช่วงสมัยรัฐบาลประธานาธิบดี บิล คลินตัน และรัฐบาลสมัยแรกภายใต้ประธานาธิบดี วลาดิมีร์ ปูติน ของรัสเซีย ภายใต้ความมุ่งหมายที่จะยุติการแข่งขันกันสะสมอาวุธ

ซึ่งมีผลบังคับใช้ในขณะที่ความสัมพันธ์ระหว่างสหรัฐและรัสเซีย อยู่ในภาวะขึ้นๆ ลงๆ มาโดยตลอด นับจากอดีตสหภาพโซเวียตล่มสลายในปี 1991

ในสภาพการณ์ที่พูดคุยกันไม่รู้เรื่องมากขึ้น ทำให้สหรัฐออกมาขู่ว่าจะเลิกเจรจากับรัสเซียเรื่องปัญหาซีเรีย พร้อมเปิดไพ่ที่จะพิจารณาทางเลือกอื่นที่มีอยู่ในการจะดำเนินการกับรัสเซียต่อไป นั่นรวมถึงการคว่ำบาตรทางการเงินหรือการปฏิบัติการทางทหาร ที่ก็ยังไม่มีการลงรายละเอียดว่าจะเป็นมาตรการเช่นไร

ขณะที่ไม่มีการชี้ชัดถึงเหตุผลเบื้องลึกเบื้องหลังว่าสาเหตุใดที่ทำให้สหรัฐถึงกับฟิวส์ขาดออกมาประกาศยุติความร่วมมือกับรัสเซียครั้งนี้

แต่มีรายงานออกมาหลายกระแสว่าฟางเส้นสุดท้ายที่ทำให้สหรัฐลุกขึ้นมาประกาศตัดขาดกับรัสเซีย มาจากกรณีที่สหรัฐกล่าวหาว่ารัสเซียหนุนหลังกองกำลังรัฐบาลของนายอัสซัด ให้ปฏิบัติการโจมตีทางอากาศถล่มเป้าหมายพลเรือน เช่น โรงพยาบาลและขบวนรถบรรเทาทุกข์ช่วยเหลือผู้ประสบภัยสงครามของสหประชาชาติ รวมถึงยังใช้อาวุธเคมีในการโจมตีด้วย

ฝ่ายรัสเซียก็ไม่น้อยหน้า สาดกลับสหรัฐว่าสนับสนุนพวกก่อการร้าย จากความล้มเหลวของสหรัฐที่จะแยกกลุ่มกบฏต่อต้านผู้นำซีเรียแนวทางสายกลางออกจากกลุ่มนักรบญิฮาดที่มีความเชื่อมโยงกับเครือข่ายก่อการร้าย อัล เคด้า

อย่าง กลุ่มฟาเตห์ อัล-ชัม ฟรอนต์ ที่เปลี่ยนชื่อมาจากกลุ่มแนวร่วมอัล-นุสรา ที่แยกตัวออกมาจากกลุ่มก่อการร้าย อัล เคด้า

แม้จำนวนตัวเลขพลเรือนที่เสียชีวิตจากสงครามนองเลือดในซีเรียจะยังคงพุ่งขึ้นต่อไปไม่หยุดยั้ง ท่ามกลางสถานการณ์โจมตีที่รุนแรงหนักหน่วงมาตลอด จากที่มีการประเมินตัวเลขผู้เสียชีวิตอย่างคร่าวๆ นับจากสงครามกลางเมืองซีเรียปะทุขึ้นในปี 2011 ว่ามีกว่า 300,000 ราย ที่ยังไม่นับรวมเด็กกว่าร้อยชีวิตที่เสียชีวิตในเหตุโจมตีในเมืองอเลปโปและพื้นที่โดยรอบในช่วงสัปดาห์ที่ผ่านมา แต่รัฐบาลสหรัฐยังคงยืนยันว่าช่องทางทางการทูตยังมีโอกาสที่จะบรรเทาปัญหาขัดแย้งในซีเรียอยู่ แม้ดูจะเลือนรางมากก็ตามที

เห็นแล้วก็รู้สึกให้หดหู่ใจและสิ้นหวัง เพราะฝ่ายที่กุมอำนาจกุมอาวุธอยู่ในมือก็ยังคงห่วงแต่เล่นการเมือง ห่วงแต่ประโยชน์ส่วนตน

ส่วนเคราะห์กรรมหนักกลับตกอยู่ที่เหยื่อของสงครามที่พวกเขาไม่ได้เป็นผู้ก่อ!!