วิถีแห่งอำนาจ เอี้ยก่วย /เสถียร จันทิมาธร/กู่ราวมังกรคำราม (141)

เสถียร จันทิมาธร

วิถีแห่งอำนาจ เอี้ยก่วย /เสถียร จันทิมาธร

 

กู่ราวมังกรคำราม (141)

 

ราชสีห์เกราะเขียวครุ่นคิดพิจารณาท่าทีอัน “ชาวยุทธ์เจ้าอินทรี” สำแดงต่อตน ประสานกับความเป็นจริงจากด้านของฝ่ายตนประเมินว่ามิใช่คู่ต่อกร ถึงต่อกรก็ยากจะชนะจึงส่งเสียง

“ยี่ก่อ สี่ตี๋ รีบหยุดมือ พวกเราอย่าได้ไม่รู้จักดีชั่ว”

เป็นการสื่อไปยัง “พี่รอง” และ “น้องสี” ซึ่งยังกุมอาวุธและหาช่องจู่โจมใส่ “ชาวยุทธ์เจ้าอินทรี”

“อันใดไม่รู้จักดีชั่ว” เป็นการครุ่นคิดจากเสือดาวเผ่นโผน

แม้จะรั้งกระบองเงินที่ยื่นออก แต่ก็ยังรู้สึก “รับประทานเรากระบองหนึ่งแล้วค่อยว่ากล่าว” ถือกระบอง 2 มือแล้วกดกระแทกลงยังศีรษะของอีกฝ่ายด้วยกระบวนท่าคชสารเบิกภูผา (กื่อเฉียไคซัว) ท่ากระแทกนี้แฝงสภาวะรุนแรงยิ่ง

“ชาวยุทธ์เจ้าอินทรี” ไม่ถลันหลบหลีก โยนพยัคฆ์ร้ายทิ้งไปพลิกมือซ้ายวูบหนึ่งคว้าจับส่วนหน้ากระบองงวงช้าง แย้มยิ้มพลางกล่าว

“พวกเราทดสอบดูว่าผู้ใดทรงพลังมหาศาลกว่า”

เจ้าทรงพลังกดกระแทกลงโดยแรงแต่กระบองงวงช้างกลับค้างอยู่เหนือศีรษะ มิอาจกดทับลงไปแม้สักครึ่งหุน

“สี่ตี๋ อย่าได้เสียมารยาท” เป็นเสียงทัดทานจากราชสีห์เกราะเขียว

 

เจ้าทรงพลังกระชากช่วงชิงอย่างหักโหม คิดรั้งกระบองกลับแต่อีกปลายหนึ่งถูก “ชาวยุทธ์เจ้าอินทรี” คว้าจับเหมือนถูกหล่อหลอมตรึงอยู่

แม้ใช้พลังออกไป 3 ครั้งครา แต่ยังไม่สามารถช่วงชิงกลับ

“ชาวยุทธ์เจ้าอินทรี” เองก็ค้นพบว่าพลังช่วงชิงจากอีกฝ่ายรุนแรงยิ่งต้องครุ่นคิด “หากเราไม่สำแดงพลังลมปราณ คนวู่วามซึ่งมีแต่กำลังอันป่าเถื่อนผู้นี้ต้องไม่ยอมรับนับถือ” พลันเหนี่ยวรั้งมือซ้ายขึ้นรวมพลังไปอยู่ที่ช่วงปลายกระบอง

ตามเหตุผลเจ้าทรงพลังต้องคลายมือออก หาได้คาดไม่ว่าเจ้าทรงพลังยังคว้าจับแน่น เพียงแต่กระบองงวงช้างกลับกลายเป็นคดเคี้ยว

“ประเสริฐ” เป็นเสียงจาก “ชาวยุทธ์เจ้าอินทรี”

กระชากพลังลงเบื้องล่าง ปลายหนึ่งของกระบองงอโค้งลง เสียงเพียะเมื่อหักสะบั้นกลายเป็น 2 ท่อน ผลก็คือ เจ้าทรงพลังถูกกระแทกกระเทือนจนง่ามมือฉีกขาด โลหิตไหลหลั่งแต่ก็ยังคงจับด้ามกระบองไม่ยอมปล่อย

เอี้ยก่วยหัวร่อฮาฮาฮา

สะบัดมือปัดกระบองครึ่งท่อนลงจมลึกไปในหิมะ เพียงชั่วพริบตากระบองก็สูญหายไปอย่างไร้ร่องรอย

เห็นกันต่อหน้าต่อตา

 

จากนั้น “ชาวยุทธ์เจ้าอินทรี” กวาดตามอง เห็นราชสีห์เกราะเขียว เซียนวานรแปดมือและพวกกำลังตวาดห้ามบรรดาสัตว์ร้าย

แต่ไม่บังเกิดผล

“ชาวยุทธ์เจ้าอินทรี” ยกมือบอกต่อก๊วยเซียงเป็นความหมายให้นางใช้นิ้วมืออุดหู แต่ยังไม่เข้าใจ แต่ก็ยินยอมปฏิบัติตาม

พลัน “ชาวยุทธ์เจ้าอินทรี” ก็เปล่งเสียงกู่ราวมังกรคำราม

ก๊วยเซียงแม้อุดหูแต่ยังได้รับความกระทบกระเทือนจนใจวาบหวิว หวั่นไหว คล้ายเคลิบเคลิ้ม คล้ายเมามาย

ไม่อาจทรงกายมั่น

เสียงกู่ดังไม่ขาดหู ทุกผู้คนรับฟังจนหน้าเปลี่ยนสี ฝูงสัตว์ล้มระเนระนาดลง ตามด้วยคนในรังปีศาจภูเขาประจิม เหล่าพี่น้องตระกูลซือ มีเพียง 10 คชสาร ราชสีห์เกราะเขียวและก๊วยเซียงที่ฝืนใจยืนหยัดอยู่

ขณะที่ “อินทรี” เชิดหัวหันมองรอบข้างด้วยท่าทีทระนง

 

หลังหยุดเสียงกู่ “ชาวยุทธ์เจ้าอินทรี” จึงกล่าวขึ้น “พี่น้องตระกูลซือโปรดอภัยที่เสียมารยาท เพียงแต่ข้าพเจ้ามีกำหนดนัดกับฝูงปีศาจภูเขาประจิม

“จึงบังคับทั้ง 2 ฝ่ายหยุดมือ

“รอจนข้าพเจ้าสะสางเรื่องราว พวกท่านค่อยพิสูจน์ความเหลื่อมล้ำ ต่ำสูง ข้าพเจ้าจะชมดูอยู่ด้านข้างไม่ช่วยเหลือทั้ง 2 ฝ่าย”

พลางเหลียวหน้าไปยัง “ปีศาจเทพอสูร” ผู้นำ “ปีศาจภูเขาประจิม”

เท่ากับส่ง “สัญญาณ” แห่งการสัประยุทธ์ระลอกใหม่