ทราย เจริญปุระ : เสรีภาพ เหนือร่างกาย “สุข” ของฉัน

"ลุกกะ-วิถีความสุขจากทุกมุมโลก" เขียนโดย Meik Wiking แปลโดย ลลิตา ผลผลา ฉบับพิมพ์ครั้งแรกโดยสำนักพิมพ์ Bookscape, มีนาคม 2561

คุณมีความสุขกับอะไรบ้าง?

ยอดเงินในบัญชี? คู่รัก? การท่องเที่ยว? หรือความก้าวหน้าในหน้าที่การงาน?

ฉันเคยคิดถึงคำตอบของคำถามนี้อย่างจริงจังครั้งล่าสุดก็เมื่อเกือบสองปีที่แล้ว

ที่บอกว่าจริงจังนั้นก็เพราะว่ามันเป็นคำถามจากจิตแพทย์ที่รักษาฉันอยู่

“คุณมีความสุขกับอะไร”

หมอบอกว่าแน่นอนที่การจะรักษาอาการทางจิตประสาทของฉันนั้นต้องใช้ยา แต่จะมีประโยชน์อะไรถ้าฉันกินยาตามหมอสั่งไปวันวัน โดยไม่ได้คิดถึงอะไรที่จริงจังและยั่งยืนกว่านั้น

ความสุขคืออะไร ความเครียดของคุณคืออะไร สามารถหลีกเลี่ยงได้หรือไม่

หรือสามารถหากิจกรรมอะไรมาชดเชยได้บ้างหากหลีกจากสาเหตุแห่งความเครียดไม่ได้จริงๆ

“ค่าไปเที่ยวของพี่นี่หนูซื้อกระเป๋าแบรนด์เนมได้เลยค่ะ”

-คนที่มีความสุขมีอะไรเหมือนกันบ้าง ไม่ว่าคุณจะมาจากเดนมาร์ก สหรัฐอเมริกา หรืออินเดีย สิ่งใดคือลักษณะร่วมของความสุข เราศึกษาวิจัยทำนองนี้มาหลายต่อหลายปีในเชิงสุขภาพ เป็นต้นว่า อะไรคือลักษณะร่วมของคนที่อายุยืนยาวถึงร้อยปี งานศึกษาวิจัยเหล่านี้ทำให้เรารู้ว่า แอลกอฮอล์ ยาสูบ การออกกำลังกาย และอาหารการกิน ล้วนแล้วแต่ส่งผลต่ออายุขัยทั้งนั้น ที่สถาบันวิจัยความสุข เราใช้วิธีการเดียวกันทำความเข้าใจว่า อะไรบ้างที่ส่งผลสำคัญต่อความสุข ความพึงพอใจในชีวิต และคุณภาพชีวิต-*

ประโยคเปรียบเทียบข้างต้นนั้นมาจากน้องที่ฉันรู้จักคนหนึ่ง ที่ได้รู้ว่าการออกไปเที่ยวของฉัน คือการย้ายที่นอน ย้ายที่กิน ย้ายที่ดื่ม

ไม่มีอะไรมากมายไปกว่านั้น

แต่ราคาที่ฉันจ่ายก็พอๆ กันกับกระเป๋าแบรนด์เนมเล็กๆ ใบหนึ่ง และน้องคงไม่ไปเที่ยวอย่างฉัน แต่สมัครใจที่จะซื้อกระเป๋ามากกว่า

 

ฉันไม่ได้รู้สึกว่าการเปรียบเทียบแบบนี้เป็นเรื่องผิด

คนเราให้คุณค่ากับสิ่งที่จะนำความสุขต่อตัวเองได้ไม่เหมือนกัน

ก่อนหน้านี้ฉันก็มีความสุขเวลาที่มีคนเอาลิปสติกดีๆ สีสวยๆ มาฝาก

เพราะนอกจากจะหมายถึงว่าผู้ให้รู้ใจฉันแล้ว ว่าจริงๆ ฉันก็มีด้านที่แต่งหน้าทาปากเหมือนกัน ยังหมายถึงผู้ให้รู้ดี ว่าสภาพทางการเงินฉันนั้นมีแค่พอใช้

แต่ไม่ได้จะหมายถึงซื้ออะไรฟุ่มเฟือยอย่างลิปสติกดีๆ สีสวยๆ ซักแท่งได้

พูดมาถึงตรงนี้ ก็อาจจะมีหลายคนบอกว่า, ฉันนั้นดีเท่าไหร่แล้วที่มีเงินให้ใช้ ทำไมไม่มองคนที่ด้อยกว่า เด็กที่ต้องเรียนและหาเลี้ยงคนทั้งครอบครัว หรือคนแก่เฒ่าที่ยังต้องต่อสู้กับชีวิตที่ยังคงหายใจไปแต่ละวัน

แต่มันก็เป็นเรื่องส่วนตัวของฉันที่จะไม่คิดอะไรแบบสยบยอมอย่างนั้น

ฉันทำงาน, ทำงานหนักด้วย แล้วทำไมฉันถึงไม่อาจเข้าถึงเงินทองที่ฉันหามา ฉันไม่ได้ทำงานเปล่าๆ แบบผู้อาสา แต่นี่เป็นความรู้ความชำนาญของฉัน ความเหน็ดเหนื่อยของฉัน แล้วทำไมฉันถึงไม่ได้เท่าที่ทำ

จะมีประโยชน์อะไร ถ้าเราได้แต่นั่งมองคนใช้เงินของเราซื้อของที่เราไม่มีวันได้ใช้ หรือนึกประโยชน์ไม่ออก

 

ถ้าคุณหงุดหงิดกับการที่เงินภาษีของคุณถูกใช้ไปกับการซื้ออะไรไม่เข้าท่า ก็นั่นแหละ, ความรู้สึกของฉันก็เป็นเช่นนั้น

ฉันรู้จักคนที่พยายามหาซื้อยาลดความอ้วนที่เพิ่งถูกจับและระบุว่ามีสารอันตรายถึงชีวิตได้ รู้ว่าเธอคนนั้นไม่เคยคิดจะกินมาก่อนจนมันถูกระบุว่าผอมแน่, แต่เสี่ยงตาย

“อย่างน้อยก็ได้ผอมมั้ย อย่างน้อยก็ได้มีความสุขกับความสวยตัวเองน่ะ ถึงไม่กินยา ชีวิตเรามันก็ไม่ดีไปกว่านี้หรอก อ้วนแล้วมีแต่คนล้อ โดนล้อแบบนี้คิดว่าเราไม่อยากตายเหรอ” เธอกล่าว

ไม่รู้สิ อาจเพราะเราไม่มีหวังจะมีความสุขในบั้นปลายกระมัง อะไรที่ฉาบฉวยสวยงามชั่วครู่ชั่วยาม ห้วงเวลาสั้นๆ ที่จะทำให้คนจดจำเรามันถึงสำคัญกว่า

เพราะความสุขและสะดวกสบายของพลเมืองประเทศแบบเราคือการจัดหาด้วยตัวเอง ลืมรัฐไปเสีย ทำหน้าที่ของเราต่อไป หาความสุขเบื้องหน้าต่อไป และภาวนาขอให้โลกก้าวหน้าจากใครก็ได้ไปเร็วๆ เพราะเรารู้ดีว่าในสภาพแบบนี้ จะอยู่อย่างมีคุณภาพดียังไม่ง่าย ไม่ต้องไปหวังอะไรให้เกินตัว

ดังนั้น การสวยสัก 3 ปีแล้วตายไปก็ดูไม่แย่เกินไปนักถ้ามองในมุมนี้

 

นรกส่วนตัวของฉันคือการต้องอยู่กับคนที่ไม่ชอบอะไรเลย โวยวายกับทุกอย่างที่ไม่ได้อย่างใจทั้งที่ไม่เคยลงมือทำ

เหมือนการบ่นว่าร้อนทุกๆ สามนาที แต่ไม่หยิบอะไรมาพัด หรือเดินเข้าไปอยู่ในร่ม หรือกินน้ำเย็น

หากอยู่ในสถานการณ์ที่เลี่ยงไม่ได้นั่นก็เรื่องหนึ่ง คือบ่นเพื่อระบายแล้วก็แยกย้ายกันไปทำต่อ

แต่ก็นั่นล่ะ บางทีฉันเองก็บ่น แต่หลังๆ มานี้ ฉันก็เห็นคุณค่ากับอะไรเล็กๆ น้อยๆ มากขึ้น

ไม่ใช่เอาตัวเองไปเทียบกับคนที่ทุกข์กว่าอย่างที่หลายๆ คนชอบแนะนำให้ทำกัน เพราะฉันรู้สึกว่าวิธีนี้มันช่างน่าเศร้า ที่เอาแต่เฝ้าหาคนที่แย่กว่าเพื่อที่เราจะได้รู้สึกดีขึ้น

แต่มันคือการรับรู้ว่าไอ้สิ่งที่ทำให้ทุกข์ตรมเศร้าหมองอยู่นี้ มีจุดสุดท้ายปลายทางของมัน

เวลาจะหมุนผ่านไปและวันใหม่จะมาถึงพร้อมกับอะไรใหม่ๆ

หรือต่อให้วันรุ่งขึ้นมาถึงแล้วเรายังคงทุกข์จากเรื่องเดิมอยู่แต่อย่างน้อยเราก็ผ่านมาได้แล้วอีกหนึ่งวัน

ดังนั้น การต้องทุกข์ไปอีกวันและอีกวันก็ไม่น่าจะเป็นเรื่องเกินจะทน

มันไม่สนุกก็ใช่

แต่มนุษย์ทนทานมากกว่าที่ตัวเองจะรู้

เราแตกสลายและประกอบกลับคืนใหม่ได้เป็นพันครั้ง ปุปะ สึกกร่อน แหลกร้าว

แต่ก็ยังคงความเป็นเราในเค้าโครง

“ไม่มีใครมีความสุขได้อย่างแท้จริง หากไม่รู้สึกได้เลือกเส้นทางชีวิตของตนเอง” -รายงานความสุขโลกปี 2012 ระบุไว้เช่นนี้-*

 

จะตลกไหมถ้าจะบอกว่าความสุขของฉันตอนนี้คือการได้เลือกซื้อเสื้อผ้าของตัวเองได้

มันดีจังเลยนะที่เรามีสิทธิ์ควบคุมอะไรที่จะปรากฏอยู่บนตัวเราได้

เวลาคนชม เราก็รู้ว่าคนชมเราจริงๆ ไม่ได้ชมแม่ที่จับเราแต่งตัว

เวลาคนไม่เข้าใจหรือเห็นขำกับการแต่งตัวของเรา เราก็รู้ว่าเขาเป็นคนคนหนึ่งที่ไม่เข้าใจ ไม่ใช่มานั่งเบื่อหน่ายว่าก็มันมีทางเลือกอะไรบ้างล่ะในชีวิตของเรา ทรัพยากรเสื้อผ้าที่เราเข้าถึงก็แค่นี้, แค่ตู้เสื้อผ้าที่เหลือจากการช้อปปิ้งของแม่

เราบอกไม่ชอบก็ไม่ได้

แต่เราก็ไม่ได้ชอบ

แล้วจริงหรือที่เราต้องตั้งหน้าหาคนที่อัตคัดกว่าอยู่ร่ำไปเพียงเพื่อจะบอกตัวเองว่าเราทุกคนล้วนไร้เสรีภาพและไม่มีสิทธิ์เลือก

ทั้งที่เราเป็นคนเหน็ดเหนื่อยทำงาน

แต่เราหมดสิทธิ์แม้จะสงสัยหรือตั้งคำถาม

เสรีภาพเหนือร่างกายและการตั้งคำถามต่อสิ่งที่เหนือกว่าเรานี้สามารถดำเนินไปในระดับที่ใหญ่โตมากขึ้นเรื่อยๆ ในบางพื้นที่เขตปกครอง

แต่สำหรับที่ที่ฉันอยู่นี้, ฉันก็ถามได้แค่นี้

และเสรีภาพในการเลือกซื้อเสื้อได้โดยไม่ต้องรอเวลามันประกาศลดราคาก็ถือว่าหรูหรามากแล้วสำหรับคุณภาพชีวิตในทุกวันนี้
——————————————————————————————————————-
*ข้อความจากในหนังสือ