แด่ผู้ไม่ยอมแพ้ชีวิต : โม ซาลาห์ นักฟุตบอลที่กำลังก้องโลก

ด้วยพระนามของอัลลอฮ์ ผู้ทรงเมตตากรุณาปรานีเสมอ มวลการสรรเสริญเป็นกรรมสิทธิ์ของพระองค์ผู้ทรงอภิบาลแห่งสากลโลก ขอความสันติสุขจงมีแด่ศาสนทูตมุฮัมมัด ผู้เจริญรอยตามท่านและสุขสวัสดีแด่ผู้อ่านทุกคน

2 พฤษภาคม 2561 สิ้นเสียงนกหวีด การแข่งขันฟุตบอลยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ลีก รอบรองชนะเลิศ นัดที่ 2 ระหว่างโรมากับลิเวอร์พูล ถึงแม้นัดนี้ลิเวอร์พูลจะแพ้ 2 ต่อ 4 แต่ผลรวมลิเวอร์พูลชนะ 7 ต่อ 6 ทำให้ลิเวอร์พูลได้เข้าไปชิงชนะเลิศกับเรอัล มาดริด

ซึ่งแน่นอนว่า โม ซาลาห์ คือผู้เป็นตัวจักรหลักของลิเวอร์พูลในความสำเร็จครั้งนี้

โม ซาลาห์ ที่สื่อไทยและเทศเรียกสั้นๆ มีชื่อเต็มตามการสะกดภาษาอาหรับที่ถูกต้องคือ มุฮัมหมัด ซอลาห์ ฆอลีย์ (อาหรับ : Muhammad Salah Ghali)

ถึงแม้ในหนังสือเดินทางเขาจะสะกดว่า โมฮัมเหม็ด ซาลาห์ (อังกฤษ : Mohammed Salah)

เขาเป็นเด็กยากจนชนบทหรือบ้านๆ จริงๆ เมืองเล็กๆ คือ นากริก หมู่บ้านเกษตรกรรมที่อยู่ทางตอนเหนือของกรุงไคโรไปราว 100 ไมล์ ของอาณาจักรฟาโรห์ ประเทศอียิปต์

เกิดเมื่อวันที่ 15 มิถุนายน ค.ศ.1992 ปัจจุบันเล่นให้กับทั้งทีมชาติอียิปต์และลิเวอร์พูล ในตำแหน่งกองหน้าหรือปีกที่คอยทะลุทะลวงตาข่ายคู่ต่อสู้

ภาพที่ได้บอลในกรอบเขตโทษและพยายามลากหนีตัวประกบถึง 3 ถึง 5 คนไปทางขวาบ้างซ้ายบ้าง ก่อนล็อกกลับมาเข้าเท้าซ้ายและแต่งบอลก่อนจะง้างเท้ายิงผ่านผู้รักษาประตูและจุมพิตธรณีเพื่อเป็นการแสดงขอบคุณพระเจ้า (การจุมพิตธรณีหรือพื้นสนามหญ้าเป็นการก้มกราบพระเจ้าตามทัศนะอิสลาม) จะเห็นบ่อยมาก

รวมทั้งนัดรองชนะเลิศแชมเปี้ยนส์ลีกนัดแรกกับโรมาเป็นภาพสะท้อนที่ชัดเจนถึงความมหัศจรรย์บนปลายเท้าของดาวเตะที่ร้อนแรงที่สุดของโลกเวลานี้

ที่นากริกเขาเตะบอลที่นี่ ท่ามกลางผืนหญ้าสีเขียวที่กว้างใหญ่ หรือข้างถนนที่เต็มไปด้วยฝุ่น

เขาและเพื่อนๆ ใช้เวลาในการเล่นฟุตบอลเคียงข้างกันมาโดยตลอด

เขาเคยสมมุติตัวเองว่าบางวันเขาก็เป็นโรนัลโด้

บางวันเขาก็เป็นซีเนดีน ซีดาน (อาหรับอ่านว่าไซนุดดีน ซีดาน) และในบางวันเขาก็เป็นฟรานเชสโก ต็อตติ แห่งทีมโรมาที่เขาไม่คาดคิดเลยว่าจะมาอยู่ที่นี่ในอนาคต และขณะเดียวกันดับฝันโรมาในรอบรองชนะเลิศยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ลีก

ด้วยความสามารถอันโดดเด่น จากการเตะฟุตบอลเล่นกันแถวบ้านว่าไม่มีใครที่แย่งบอลจากเท้าของเขาได้ เขาก็พยายามผลักดันเข้าทีมท้องถิ่นอย่างบาซียูน ด้วยการกำหนดของพระเจ้าตามที่เขาศรัทธาเหมือนมุสลิมทั่วไป

ในเกมทดสอบฝีเท้านัดหนึ่ง แมวมองจากสโมสรมุกอวิลูน สโมสรระดับพรีเมียร์ลีกของอียิปต์ เดินทางมาเพื่อจับตามองดาวรุ่งคนหนึ่ง

และได้สะดุดตาและสะดุดใจเขาซึ่งถือเป็นจุดเริ่มต้นการเดินทางในเส้นทางนักฟุตบอลอาชีพจริงๆ ของเขา

การจะประสบความสำเร็จได้นั้นไม่มีอะไรที่ได้มาง่ายดายย่างแน่นอน เพราะทุกอย่างบนโลกล้วนต้องมีสิ่งแลกเปลี่ยนที่เท่าเทียม

สิ่งที่เขาต้องใช้แลกมาคือระยะเวลาในการเดินทางอย่างน้อยวันละ 8 ชั่วโมง กับการเดินทางจากนากริกเพื่อไปกรุงไคโรในทุกเช้าเป็นเวลา 4 ชั่วโมง และขากลับจากการฝึกซ้อมที่เหน็ดเหนื่อยอีก 4 ชั่วโมง

เขาทำแบบนี้สัปดาห์ละ 5 วัน แม้ว่าบ่อยครั้งที่เขาต้องโดดเรียนเพื่อที่จะกระโดดขึ้นรถบัสไปซ้อมได้ทันเวลาก็ต้องยอม

และเดือนที่มุสลิมถือศีลอดเขาต้องถือศีลอดด้วยพร้อมทั้งละหมาด 5 เวลาไม่ขาด

เขากล่าวว่า

“ผมพลาดการไปโรงเรียนบ่อยๆ เพราะว่ามันเป็นทางเดียวที่จะทำให้ผมไปซ้อมได้ทันเวลา บางครั้งผมไปโรงเรียนแค่ 2 ชั่วโมง ช่วง 7-9 โมงเช้า จากนั้นผมก็ต้องขึ้นรถบัสไปซ้อมเลย…แต่เพราะการเป็นนักฟุตบอลเป็นสิ่งที่ผมใฝ่ฝัน และในวันเวลาแห่งความเยาว์วัยนั้น เราทุกคนฝันในสิ่งที่ยิ่งใหญ่ทั้งนั้น”

เมื่อได้เข้าในทีมเยาวชนของสโมสรมุกอวิลูนเขาก็เจอปัญหาใหม่ เมื่อเขาไม่สามารถที่จะทำผลงานได้ดีนักในตำแหน่งที่เขาได้รับมอบหมายจากโค้ช

ตำแหน่งนั้นไม่ใช่กองหน้า ปีก หรือกองกลาง หากแต่เป็นตำแหน่งแบ๊กซ้ายที่เขาถูกมอบหมายจากโค้ชซาอีด อัล-ชิชินี ให้เขาในวัย 15 ปีขณะนั้นลงเล่นกับทีมในรายการฟุตบอลลีกระดับเยาวชนในกรุงไคโร

ในเกมหนึ่งหลังจากที่สโมสรมุกอวิลูนแพ้คู่แข่งยับถึง 4-0 เขานั่งร้องไห้เสียใจอยู่ที่มุมหนึ่งในห้องแต่งตัว เพราะในเกมนั้นเขาในบทบาทแบ๊กซ้าย ได้โอกาสหลุดเดี่ยวเข้าไปดวลกับผู้รักษาประตูฝั่งตรงข้ามมากถึง 5 ครั้ง ถ้าเขาเปลี่ยนโอกาสทั้งหมดให้เป็นประตูได้ ย่อมทำให้ทีมของพวกเขาเป็นฝ่ายกำชัยชนะได้ทันที

แต่สิ่งที่เกิดขึ้นคือเขาทำไม่ได้แม้แต่ประตูเดียว

วันนั้น อัล-ชิชินี ให้เงินค่าขนมกับเขาเพื่อเป็นการปลอบใจ พร้อมกับคิดหาคำตอบว่าทำอย่างไรเขาจะช่วยให้ไอ้หนูคนนี้เปล่งประกายได้มากกว่านี้

คำตอบที่พบคือ เขาไม่ควรเล่นในตำแหน่งแบ๊กซ้ายอีก เพราะกว่าที่เขาจะลุยมาถึงหน้าปากประตูได้เขาก็ไม่เหลือกำลังขาที่จะวางเท้ายิงได้อย่างแม่นยำแล้ว

ดังนั้น ตำแหน่งใหม่ที่ไอ้หนูคนนี้ควรได้เล่นคือ “ปีกขวา”

“ผมบอกกับเขาว่า ถ้าเขาเล่นตำแหน่งนี้ เขาจะเป็นดาวซัลโวได้อย่างแน่นอน” อัล-ชิชินี ยังจำเรื่องราวในวันนั้นได้ดี

จบฤดูกาลนั้น เขาทำได้ 35 ประตู เขาเป็นดาวซัลโวของทีม และเป็นดาวเด่นที่ทุกคนจับตามอง

เขาพัฒนาการเล่นอย่างรวดเร็ว ในวัย 16 ปี เขาได้โอกาสลงสนามนัดแรกกับสโมสรมุกอวิลูน ในนัดที่พบกับสโมสรมันซูเราะห์ เมื่อเดือนพฤษภาคม 2010 โดยถูกเปลี่ยนตัวลงมาเป็นตัวสำรองในเกมที่จบลงด้วยการเสมอกัน 1-1

หลังจากนั้นแค่ 2 ปี เขากลายเป็นผู้เล่นของทีมชาติอียิปต์ไปเสียแล้ว ชื่อของเขาถูกกล่าวขานไปตลอดแนวแม่น้ำไนล์

ในฤดูกาล 2011-2012 วงการฟุตบอลอียิปต์ต้องอยู่ในความมืดมน เมื่อเกิดเหตุโศกนาฏกรรมที่สนามพอร์ต ซาอีด ที่ทำให้มีแฟนฟุตบอลเสียชีวิตถึง 74 ราย และบาดเจ็บอีกหลายร้อยคน

ความสูญเสียที่เกิดขึ้นและภาพความรุนแรงในการปะทะกันระหว่างแฟนฟุตบอลทีมอัล-มัสรี และอัล อะห์ลี ทำให้ทุกฝ่ายเห็นพ้องต้องกันว่าลีกฟุตบอลจะต้องหยุดการแข่งขันทันที

ระหว่างนั้นเขาถูกเรียกตัวติดทีมชาติในชุดอายุต่ำกว่า 23 ปี ชุดที่เตรียมพร้อมลงแข่งขันในกีฬาโอลิมปิกที่กรุงลอนดอน โดยมีการจัดนัดอุ่นเครื่องกับเอฟซี บาเซิล สโมสรจากสวิตเซอร์แลนด์

ในเกมนั้นเขาถูกเปลี่ยนลงมาเป็นตัวสำรอง (อีกแล้ว) และเขาทำคนเดียว 2 ประตูช่วยให้ฟาโรห์น้อยเฉือนชนะบาเซิลที่วันนั้นมีทั้งเชร์ดาน ชาคิรี, ฟาเบียน ฟราย และวาเลนติน สต็อกเกอร์ ด้วยสกอร์ 4-3

ถัดมา 1 เดือน บาเซิลประกาศคว้าตัวปีกชาวอียิปต์เข้ามาร่วมทีมทันที!

ด้วยการกำหนดของพระเจ้าได้นำพาเขาไปสู่ที่ใหม่ที่ดีกว่า สิ่งที่เกิดขึ้นตามมาคือกำแพงชีวิตที่ใหญ่ หนา และสูงกว่าทั้งหมดที่เคยเจอ

การใช้ชีวิตลำพังในสวิตเซอร์แลนด์ ประเทศที่ไม่มีอะไรเหมือนกับบ้านเกิดที่อียิปต์เลยแม้แต่น้อย ไม่ใช่เรื่องง่ายสำหรับเด็กอายุแค่ 18-19 ปี

อย่าว่าแต่ภาษาสวิต-เยอรมัน เขาพูดภาษาอังกฤษไม่ได้ ทำได้เพียงแค่เดินเตร่บนถนนหนทางในบาเซิลในช่วงหลังการฝึกซ้อม มันเป็นช่วงเวลาที่ยากลำบากที่สุดของเขา

จนกระทั่งในเดือนมกราคม 2013 บาเซิลคว้าตัวมุฮัมหมัด อัลเนนี กองกลางชาวอียิปต์มาร่วมทีมอีกคน การมีเพื่อนทำให้เขาเริ่มกลับมาทำผลงานได้อย่างโดดเด่นใน 79 นัดที่ลงสนามให้กับทีม

เขาทำได้ 20 ประตูและอีก 17 แอสซิสต์

หนึ่งในนั้นเป็นประตูที่เขายิงใส่เชลซีในเกมรอบรองชนะเลิศยูโรป้าลีก เมื่อปี 2013

และเขายิงสิงห์บลูส์ได้อีก 2 นัดในรอบแบ่งกลุ่มยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ลีกด้วย

ลิเวอร์พูล (ทีมในดวงใจของเขา) เป็นทีมแรกที่พยายามติดต่อขอซื้อตัว “เมสซี่แห่งอียิปต์” อันเป็นสมญาที่เขาได้รับในขณะนั้น

แต่การเจรจากลับล่าช้าและไร้วี่แววที่การเจรจาจะลุล่วงได้

ต่อให้หัวใจจะรักทีมสีแดงแห่งเมอร์ซีย์ไซด์แค่ไหน เขารู้ว่าชีวิตจริงมันยากและซับซ้อนเกินกว่าที่ใครจะได้ในสิ่งที่ต้องการตลอดเวลา

สุดท้ายเป็นเชลซีที่ทำแบบเดียวกันกับบาเซิล ที่ประกาศคว้าตัวซาลาห์มาร่วมทีมได้สำเร็จด้วยค่าตัว 11 ล้านปอนด์ในเดือนมกราคม 2014

เพียง 18 เดือนนับตั้งแต่ที่เขาย้ายจากอียิปต์มาสวิตเซอร์แลนด์

Sim Salah Bis การร่ายมนต์ของซาลาห์ ชีวิตของซาลาห์กับเชลซีเริ่มต้นเหมือนจะสวยงาม

เขาทำประตูได้ในเกมที่ไล่ถล่มอาร์เซนอล 6-0 และได้รับรางวัลผู้เล่นยอดเยี่ยมในเกมที่พบกับสโต๊กและซันเดอร์แลนด์ และอีกหนึ่งเกมที่เขาจดจำคือการไปเยือนแอนฟิลด์ ในเกมที่ทีมของเบรนดัน ร็อดเจอร์ส ต้องการชัยชนะเพื่อคว้าแชมป์พรีเมียร์ลีกสมัยแรกให้ได้

“ตั้งแต่เด็กผมเป็นแฟนลิเวอร์พูลมาตลอด พวกเขาเป็นทีมโปรดของผม และการได้ลงเล่นในแอนฟิลด์มันเป็นอะไรที่พิเศษมากสำหรับผม บรรยากาศในเกมวันนั้นมันยอดเยี่ยมมาก ผมจำได้ว่าในวันนั้นผมบอกกับตัวเองว่าที่นี่เป็นสถานที่ที่พิเศษมากสำหรับการลงเล่นฟุตบอล”

แต่ในวันนั้นซาลาห์ได้โอกาสลงเล่น 60 นาที และเกมจบลงด้วยชัยชนะของเชลซีที่บุกมาคว้า 3 แต้มที่แอนฟิลด์ 2-0 โดยประตูแรกเกิดจากการ “ลื่น” ของสตีเวน เจอร์ราร์ด และแน่นอนว่าเป็นเกมที่ดับฝันการคว้าแชมป์ลีกสมัยแรกของลิเวอร์พูลอย่างเจ็บปวดที่สุด

ขณะที่ชีวิตของเขากับเชลซียากขึ้นเรื่อยๆ โอกาสในการลงสนามยิ่งลดน้อยลงไปทุกวัน ความสัมพันธ์กับโฆเซ่ มูรินโญ แม้จะไม่เลวร้ายแต่ก็ไม่หอมหวาน

สุดท้ายเขาถูกส่งตัวไปให้กับฟิออเรนตินายืมใช้งานในฤดูกาลถัดมา ในวันที่ไม่มีใครคาดหวังอะไรจากนักเตะที่ไม่สามารถทำอะไรได้มากกว่าจิ้มพรวดวิ่งแข่งไปข้างหน้า

ณ เข็มนาฬิกานั้นไม่มีใครจินตนาการไว้ว่า ซาลาห์จะกลับมาเล่นได้อย่างยอดเยี่ยมในสีเสื้อของทีมม่วงมหากาฬ แต่มันก็เป็นสิ่งที่เกิดขึ้นเมื่อเขากลายเป็นดาวเด่นประจำทีมอย่างรวดเร็วจนน่าประหลาดใจ

เขาทำได้ 9 ประตูจากการเล่น 26 นัดให้ลา วิโอลา โดยหนึ่งในนั้นเป็นประตูที่ถูกพูดถึงอย่างมากกับการ “โซโล่” คนเดียวจากแดนตัวเองเข้าไปยิงผ่านจิอันลุยจิ บุฟฟอน ในเกมโคปปา อิตาเลีย รอบรองชนะเลิศนัดแรก

Gazzetta Dello Sport หนังสือพิมพ์กีฬาที่ดังที่สุดในอิตาลีถึงกับพาดหัวตัวไม้ในวันนั้นว่า “Sim Salah Bis” ซึ่งมาจากคำร่ายมนต์ของตัวละคร “ฮัดจิ” ในการ์ตูนดังของอเมริกายุคปี 60s เรื่อง Jonny Quest

วินเชนโซ มอนเตลลา โค้ชโรมาในเวลานั้นยอมรับว่า บนโลกนี้อาจจะมีคนเดียวที่เร็วกว่าซาลาห์ คนนั้นคือ ลิโอเนล เมสซี่

ในปีถัดมา เขาถูกส่งให้ยืมตัวอีกครั้ง แต่คราวนี้เป็นทีมใหญ่กว่าอย่างโรมา ที่ทำให้เขาได้เล่นร่วมกับฟรานเชสโก ต็อตติ ขวัญใจในวัยเด็กอีกครั้ง

2ฤดูกาลกับโรมาเป็นช่วงเวลาที่ซาลาห์เปล่งประกายต่อเนื่อง เขาเป็นกำลังสำคัญของทีม ทำได้ 29 ประตูจากการเล่น 65 นัด และเคยได้รับการโหวตให้เป็นผู้เล่นยอดเยี่ยมของสโมสรในฤดูกาล 2015-2016 ด้วย

เหนืออื่นใดคือการที่ซาลาห์ได้โอกาสลงเล่นนัดสุดท้ายกับ “จัลโล่รอสซี่” ในเกมเดียวกับที่ต็อตติประกาศอำลาสนามในวันที่กรุงโรมต้องหลั่งน้ำตาเมื่อปีกลาย

โดยที่วันนั้นเขาไม่รู้ตัวเลยว่าเขาถูกจับตาจากสุดยอดโค้ชคนหนึ่งของวงการ

และโค้ชคนนั้นเฝ้ารอที่จะดึงตัวเขากลับมาสู่ทีมที่เขาควรจะได้อยู่มานานกว่า 6 เดือนแล้ว

เจอร์เก้น คล็อปป์ จับตามองเขามามากกว่า 6 เดือน ฟุตเทจการเล่นของสตาร์อียิปต์จำนวนมากมายมหาศาลผ่านสายตาของเขา

และยิ่งทำให้ผู้จัดการทีมชาวเยอรมันมั่นใจว่า นี่คือคนที่เขาต้องการในแนวรุก ก่อนจะเดินเครื่องเจรจาและคว้าตัวมาร่วมทีมได้สำเร็จ

แต่สิ่งที่คล็อปป์เองก็ไม่เคยคิดเลยก็คือ ไม่คิดว่าเขาจะเก่งกาจจนเข้าขั้นมหัศจรรย์ขนาดนี้ นับจากเกมแรกที่เขาได้โอกาสลงเล่นกับลิเวอร์พูลในเกมกับวีแกน ในรายการอุ่นเครื่องพรีเมียร์ลีก เอเชีย โทรฟี ที่ฮ่องกง เมื่อเดือนกรกฎาคม 2017 เขาพัฒนาการเล่นของตัวเองขึ้นอย่างรวดเร็ว

จากคนที่คล็อปป์บอกว่า “ไม่รู้อะไรเลยว่าลิเวอร์พูลมีวิธีในการเล่นเกมรับอย่างไร” และต้องใช้เวลาในการเรียนรู้วิธีการเล่นในแบบ Gegenpressing ในวันนี้ ซาลาห์เข้าใจสไตล์การเล่นแบบนี้อย่างถ่องแท้ และในเกมกับวัตฟอร์ด นอกจาก 4 ประตูกับ 1 แอสซิสต์ที่ทำได้ เขายังลงมาไล่บอลจนถึงหน้ากรอบเขตโทษของแดนตัวเองตลอดเวลา

คล็อปป์และเขาต่างแลกเปลี่ยนสิ่งที่ดีที่สุดซึ่งกันและกัน สิ่งนั้นคือ “โอกาส” ที่คล็อปป์มอบให้ โดยเขาได้ “ความทุ่มเท” ที่ไร้ขีดจำกัดของซาลาห์เป็นสิ่งตอบแทน

จากปีกที่เหมือนจะมีจุดเด่นแค่ความเร็วแต่ขาดความเฉียบขาดในการจบสกอร์ จนแฟนบอลทีมคู่แข่งแซวว่าเป็น Headless Chicken หรือไก่ไร้หัวที่วิ่งพล่านไปทั่ว

เขาได้รับการขัดเกลาจนกลายเป็นปีกกึ่งกองหน้าที่เลือกใช้ความเร็วในจังหวะที่ถูกต้องเหมาะสม และจบสกอร์อย่างเฉียบคมอย่างน่าเหลือเชื่อ

ในวันนี้ ในบางภาพ บางสถานการณ์ เขาเหมือนภาพเงาของเมสซี่มากขึ้นและมากขึ้นทุกทีและมีแน้วโน้มจะชนะเมสซี่เพราะเป็นตัวเต็งจะคว้ารางวัลนักฟุตบอลยอดเยี่ยมแห่งปีของทวีปยุโรป (European Footballer of the Year) หรือรู้จักกันในชื่อ บัลลงดอร์ (Ballon d”Or – ภาษาฝรั่งเศส แปลว่า “ลูกบอลทองคำ”) ในขณะเดียวกันนำลิเวอร์พูลเข้าชิงถ้วยใหญ่ยุโรป ซึ่งก่อนหน้านั้นได้รางวัลนักเตะยอดเยี่ยมแห่งปีผู้สื่อข่าวฟุตบอลอังกฤษ

ไม่ใช่แค่รูปร่าง เท้าซ้าย และสไตล์การเล่น แต่ยังรวมถึงการเป็นผู้เล่นที่พร้อมที่จะสำแดงเดชเพื่อช่วยทีมในเกมสำคัญ

เขาอาจจะเล่นไม่ออกในเกมกับแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด แต่ไม่ใช่ในเกมกับแมนเชสเตอร์ ซิตี้ เมื่อต้นปีที่ผ่านมา ซึ่งมีส่วนช่วยให้ลิเวอร์พูลกลายเป็นทีมแรกที่หยุดสถิติ “ไร้พ่าย” ทีมของเป๊ป กวาร์ดิโอลา เอาไว้ได้ในพรีเมียร์ลีก (และยังเป็นทีมเดียวจนถึงเวลานี้)

Liverpool’s Egyptian midfielder Mohamed Salah celebrates scoring the team’s fourth goal during the English Premier League football match between Liverpool and Watford at Anfield in Liverpool, north west England on March 17, 2018. / AFP PHOTO / Lindsey PARNABY / RESTRICTED TO EDITORIAL USE. No use with unauthorized audio, video, data, fixture lists, club/league logos or ‘live’ services. Online in-match use limited to 75 images, no video emulation. No use in betting, games or single club/league/player publications. /

และอีกหลายนัดที่ทีมเล่นไม่ออก ซาลาห์ก็พร้อมที่จะเป็นคนที่สร้างความแตกต่างให้กับทีมเหมือนในเกมกับเลสเตอร์ ซิตี้ เมื่อเดือนธันวาคมปีกลาย ในวันที่อดีตแชมป์พรีเมียร์ลีกที่มหัศจรรย์ที่สุดไล่ต้อนจน “หงส์แดง” ใกล้เสียท่า ซาลาห์ก็โชว์การเล่นที่ไม่มีใครคาดคิดด้วยการพลิกบอลผ่านแฮร์รี่ แม็กไกวร์ ปราการหลังร่างยักษ์ที่ทำได้ดีตลอดทั้งเกมจนเสียท่า และเข้าไปยิงประตูอย่างเหนือชั้น

เป็นจุดเปลี่ยนสำคัญที่ทำให้ทีมคว้าชัยชนะ

และแน่นอนประตูที่สำคัญที่สุดในชีวิตของเขากับการยิงลูกจุดโทษในเกมนัดสุดท้ายของศึกฟุตบอลโลกรอบคัดเลือกโซนแอฟริกา ในเกมที่พบกับคองโก

จุดโทษในช่วงทดเวลาบาดเจ็บนาทีที่ 94 ที่จะตัดสินว่าอียิปต์จะได้ผ่านเข้าสู่รอบสุดท้ายของฟุตบอลโลกได้เป็นครั้งแรกในรอบ 28 ปีหรือไม่

เขาอาสาแบกรับความหวังของคนทั้งชาติ โดยไม่หวั่นว่าหากทำไม่สำเร็จเขามีโอกาสจะกลายเป็น “ผู้ร้าย” ในสายตาคนทั้งประเทศทันที

โชคดีที่เขานิ่งพอที่จะส่งบอลสู่ก้นตาข่ายได้สำเร็จ

อียิปต์ได้ผ่านเข้าสู่ฟุตบอลโลกรอบสุดท้าย และรอยยิ้มของเขาในวันนั้น คือรอยยิ้มของคนทั้งชาติ

ในวันนี้ ณ เข็มนาฬิกาเดินไป ความเก่งกาจของเขาเป็นที่ประจักษ์แล้วในโลกฟุตบอล

แต่เขาไม่ได้เป็นแค่สิ่งมหัศจรรย์ในสนามครับ ในทางตรงกันข้าม เขาได้กลายเป็นนักฟุตบอลผู้เป็นเจ้าของปรากฏการณ์ที่ไม่เคยปรากฏขึ้นมาก่อนในอียิปต์

สิ่งที่เขาเป็นนั้นเป็นสิ่งที่แม้แต่ ลิโอเนล เมสซี่ หรือ คริสเตียโน่ โรนัลโด้ เองก็ทำไม่ได้ สิ่งนั้นคือการเป็น “ศูนย์รวมใจ” ของคนทั้งชาติ

เขาไม่เพียงแต่เป็นนักฟุตบอลที่เก่งกาจ แต่เขายังเป็น “คนดี” ที่พร้อมเสียสละเพื่อประเทศชาติและบ้านเกิดเสมอ

ในวันที่เขาทำประตูให้อียิปต์คว้าตั๋วไปฟุตบอลโลก อดีตประธานาธิบดีประกาศมอบรางวัลวิลล่าสุดหรูให้เขาอยู่สบายๆ ตามประสาฮีโร่ของแผ่นดิน

แต่เขากลับปฏิเสธที่จะรับรางวัลนี้เพียงคนเดียว และขอให้นำเงินไปมอบเป็นการกุศลให้กับหมู่บ้านของเขาและตลอดมา

เขาบริจาคเงินอย่างมากมายเพื่อบ้านเกิดของเขา ทั้งโรงเรียน ศูนย์กลางชุมชน ซื้อของบริจาคให้แก่ผู้คนที่ยากไร้

รวมถึงบริจาคอาหารในช่วงเดือนแห่งการถือศีลอด เด็กๆ จำนวนมากได้รับของขวัญที่เขาซื้อมาให้

เขาใช้ค่าตอบแทนจากการเล่นฟุตบอลจากสโมสรลิเวอร์พูลราวสัปดาห์ละ 90,000 ปอนด์ ซึ่งสูงกว่าค่าเฉลี่ยที่ประชากรจำนวน 15,000 คนในนากริกได้รับอยู่ราวสัปดาห์ละ 125 ปอนด์ มากมายหลายร้อยหลายพันเท่า เพื่อตอบแทนแผ่นดินเกิดและคนในบ้านเกิดของเขา โดยที่สิ่งเหล่านี้เขาไม่เคยคิดประกาศให้ใครรู้มาก่อน

แม้กระทั่งงานแต่งงานของเขา เขาก็จัดงานในบ้านเกิด โดยแขกที่ได้รับเชิญก็คือคนในชุมชนที่เขาคุ้นเคยมาตั้งแต่เด็ก

ซึ่งซาลาห์เชื่อว่านี่คือสักขีพยานแห่งความรักที่ดีที่สุดระหว่างเขาและภรรยา ไม่ใช่เหล่าเซเลบริตี้ดาราที่ไหน

สิ่งเหล่านี้ทำให้เขาเป็น “ที่รัก” ไม่ใช่เฉพาะที่นากริก แต่ยังรวมถึงที่ไคโรและทั่วทั้งอียิปต์ในทุกนัดที่ลิเวอร์พูลลงแข่งขัน ชาวอียิปต์จะพร้อมใจหยุดทุกอย่างแล้วมานั่งหน้าจอช่วยกันเชียร์ซาลาห์กันทั่วประเทศ โดยไม่จำเป็นว่าพวกเขาจะชอบทีมอะไรมาก่อน

ไม่ว่าจะชอบทีมอะไร แต่ถ้าเป็นเกมที่เขาลงสนาม วันนั้นพวกเขาคือเดอะ ค็อป (จำเป็น) หากดิดิเยร์ ดร็อกบา คือคนที่สามารถหยุดสงครามกลางเมืองในไอวอรีโคสต์ได้ด้วยการเล่นฟุตบอลของเขา ซาลาห์ก็คือคนที่ทำให้ชาวอียิปต์มีความสุขในยุคสมัยของความยากลำบากหลังการปฏิวัติในประเทศ เขาคือราชาในดวงใจที่ใครต่อใครหลงรักอย่างแท้จริง (King of Egypt)

การนำเสนอชีวิตซาลาห์ครั้งนี้จะเป็นกำลังใจเเละบทเรียนแก่ทุกท่านและผู้ไม่ยอมแพ้ชีวิตว่าทำไมเขาปฏิบัติตามศาสนามะว่าละหมาด อ่านอัลกุรอาน มีจิตอาสา เรียนหนังสือน้อยแต่พูดอังกฤษได้ดีทั้งๆ ที่ตอนแรกพูดสื่อสารไม่ได้ แต่ปัจจุบันสามารถสัมภาษณ์เป็นภาษาอังกฤษได้อย่างคล่องแคล่ว ร่ำรวยแต่ไม่หยิ่งยโส ถ่อมตน ให้เกียรติผู้อื่น พยายามมุมานะถึงแม้ลำบาก ให้อภัยยังไม่พอ แถมยังให้โอกาสศัตรู

วาทะลูกหนังได้พูดถึงเขาว่า

– ชายที่ขอร้องให้ลดโทษโจรที่ขึ้นบ้านของตัวเอง พร้อมกับให้เงินและหางานให้ทำ ชายผู้กลับไปตอบแทนแผ่นดินเกิดที่เขาเติบโตมา หรือแม้กระทั่งออกเงินให้ชายหญิงคู่หนึ่งได้แต่งงานกัน

– ทัศนคติที่ทำให้เขามีทุกวันนี้ที่ว่า

“ฟุตบอลไม่ใช่เกม หรือว่างานอดิเรก มันเป็นสิ่งที่เอาไว้ให้เราไขว่คว้าความฝัน ที่ยากต่อการเป็นไปได้”

“ความสำเร็จของผม…แลกมากับการเสียสละจากครอบครัว มันเป็นช่วงเวลาที่ยากลำบาก สมัยเด็ก, ผมต้องออกจากบ้านในตอนเช้า และกลับมาดึกดื่นมาก ผมต้องนั่งรถประจำทาง 5 ต่อ กว่าจะเดินทางไปถึงสโมสร”

“จงทำทุกอย่างด้วยหัวใจ ซื่อสัตย์ต่อตัวเอง พร้อมกับเชื่อมันในความสามารถ และเป้าหมาย นี่เป็นวิธีเดียวที่คุณจะสามารถบรรลุความฝันได้”

“ระหว่างการเดินทาง คุณต้องให้เกียรติเพื่อนร่วมทีม และคู่แข่ง มอบความเคารพให้กับผู้คนรอบข้าง ทั้งเรื่องของต้นกำเนิด, ศาสนา และสัญชาติของพวกเขา”

“ท้ายที่สุด จงอย่าหยุดพัฒนาตัวเอง เมื่อมีบางคนมาบอกคุณว่า -คุณรวดเร็วมาก- ทำให้แน่ใจว่า เช้าวันรุ่งขึ้น คุณต้องโชว์ให้พวกเขาเห็นว่า คุณสามารถเร็วได้กว่านี้อีก”

-มุฮัมหมัด ซอลาห์-