SearchSri : ว่าด้วยเรื่องเงินๆ ทองๆ หลังตลาดซื้อขายต้นฤดูกาล 2017-2018

คอลัมน์ Technical Time-Out


ตลาดซื้อขายนักเตะยุโรปต้นฤดูกาล 2017-2018 ที่ปิดตัวลงไปเมื่อไม่กี่สัปดาห์ก่อน ได้รับการวิจารณ์ว่าเป็นตลาดซื้อขายที่หวือหวาวุ่นวายและมีเหตุการณ์ไม่คาดคิดเกิดขึ้นจนถึงหยดสุดท้าย ทั้งการย้ายทีมแบบฉุกละหุก การปฏิเสธการเซ็นสัญญาอย่างกะทันหัน

เหนือสิ่งอื่นใดคือการทุบเพดานค่าตัวนักเตะแบบกระจุยกระจายของ “เนย์มาร์” กองหน้าชาวบราซิเลียน ซึ่ง “ปารีส แซงต์แชร์แมง” ยอมจ่ายค่าฉีกสัญญา 222 ล้านยูโร (8,880 ล้านบาท) ให้ “บาร์เซโลนา” ชนิดไม่มีใครคาดคิดมาก่อน

ความบ้าระห่ำของเปแอสเชทำให้มาตรฐานค่าตัวนักเตะที่เพิ่มสูงขึ้นในปัจจุบันยิ่งปั่นป่วนมากเข้าไปใหญ่ โดยถ้าเป็นนักเตะฝีเท้ากลางๆ ค่อนไปทางดีสมัยนี้ก็ต้องมีราคา 35 ล้านปอนด์ (1,540 ล้านบาท) ขึ้นไป

แต่ถ้าเป็นระดับซูเปอร์สตาร์ของทีมนั้นๆ แล้ว แทบจะตั้งราคาไม่ต่ำกว่า 100 ล้านปอนด์ (4,000 ล้านบาท) เลยทีเดียว

บริษัท “ศูนย์กีฬาศึกษานานาชาติ (CIES)” ที่ประเทศสวิตเซอร์แลนด์ ทำการวิจัยและวิเคราะห์ข้อมูลของตลาดซื้อขายล่าสุดได้ข้อสรุปว่า สโมสรต่างๆ จ่ายค่าตัวนักเตะเกินจริงหรือเกินราคาประเมินไปถึง 30 เปอร์เซ็นต์โดยภาพรวม

“ราคาประเมิน” ที่ว่านี้ พิจารณาจากสถิติหลายอย่างประกอบกัน ทั้งตำแหน่งการเล่น อายุ เปอร์เซ็นต์การมีส่วนร่วมกับทีมหรือช่วยให้ทีมมีคะแนนในการลงสนามแต่ละนัด ฯลฯ

ยกตัวอย่าง “คีเลียง เอ็มบัปเป้” กองหน้าดาวรุ่งที่ย้ายจากโมนาโกไปร่วมทีมปารีส แซงต์แชร์แมง ด้วยค่าตัว 180 ล้านยูโร (7,200 ล้านบาท) ทั้งที่ราคาประเมินของเขาอยู่ที่ 92.6 ล้านยูโร (3,704 ล้านบาท) นับเป็นนักเตะที่มีค่าตัวเกินจริงที่สุดในช่วงตลาดซื้อขายที่ผ่านมา

หรือถ้าพิจารณาเฉพาะในพรีเมียร์ลีก อังกฤษ นักเตะที่ค่าตัวเกินจริงที่สุดคือ “เบนจามิน เมนดี้” แบ๊กซ้ายชาวฝรั่งเศสซึ่ง “แมนเชสเตอร์ ซิตี้” ควักกระเป๋าจ่าย “โมนาโก” มา 57.5 ล้านยูโร (2,300 ล้านบาท) ทั้งที่ราคาจริงๆ ของเขาน่าจะอยู่ที่ 28.5 ล้านยูโร (1,140 ล้านบาท) เท่านั้น

CIES สรุปด้วยว่า สโมสรใน 5 ลีกใหญ่ของยุโรป ใช้เงินซื้อผู้เล่นใหม่เข้าทีมรวมกันแล้วมากเป็นประวัติการณ์ 5,900 ล้านยูโร (2.36 แสนล้านบาท) เพิ่มขึ้นจากช่วงเวลาเดียวกันเมื่อปีที่แล้วถึง 41 เปอร์เซ็นต์

เมื่อผ่านพ้นตลาดซื้อขายไปเรียบร้อยก็ได้ข้อสรุปว่า ทีมเรือใบสีฟ้าเป็นทีมที่มีนักเตะค่าตัวรวมกันทั้งทีมแพงที่สุดในโลก เพราะนอกจากเมนดี้แล้วยังมี “ไคล์ วอล์กเกอร์” และ “แบร์นานโด้ ซิลวา” ที่ซื้อมาใหม่ คิดเป็นมูลค่ารวมทั้งทีม 853 ล้านยูโร (34,120 ล้านบาท) เบียดแชมป์เก่า “แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด” คู่ปรับร่วมเมือง ตกไปอยู่อันดับ 3 โดยปีศาจแดงมีนักเตะทั้งทีมค่าตัวรวมกัน 784 ล้านยูโร (31,360 ล้านบาท)

ส่วนทีมค่าตัวสูงสุดอันดับ 2 นั้น คือ ปารีส แซงต์แชร์แมง ซึ่งแค่ค่าตัวเนย์มาร์กับเอ็มบัปเป้ 2 คน ก็เกือบจะเป็นครึ่งหนึ่งของค่าตัวนักเตะทั้งทีมแล้ว โดยปัจจุบันเปแอสเชมีนักเตะที่มีค่าตัวรวมกัน 850 ล้านยูโร (34,000 ล้านบาท) ห่างจากแมนฯ ซิตี้เพียงนิดเดียวเท่านั้น

สำหรับทีมนักเตะค่าตัวแพงในอันดับท็อปเท็นอื่นๆ มีสโมสรจากอังกฤษติดโผเข้ามาถึง 4 จาก 7 ทีม ดังนี้ 4.เชลซี 644 ล้านยูโร (25,760 ล้านบาท) 5.บาร์เซโลนา 628 ล้านยูโร (25,120 ล้านบาท) 6.รีล มาดริด 497 ล้านยูโร (19,880 ล้านบาท) 7.ยูเวนตุส 470 ล้านยูโร (18,800 ล้านบาท) 8.ลิเวอร์พูล 437 ล้านยูโร (17,480 ล้านบาท) 9.อาร์เซนอล 416 ล้านยูโร (16,640 ล้านบาท) และ 10.ท็อตแนม ฮอตสเปอร์ 361 ล้านยูโร (14,440 ล้านบาท)

นอกจากนี้ ในอันดับ 11-25 ยังมีสโมสรจากอังกฤษติดโผเข้ามาอีกหลายทีม แม้กระทั่งทีมเล็กๆ หลายทีมก็หลุดเข้ามาอย่างเหลือเชื่อ ไม่ว่าจะเป็น “เอฟเวอร์ตัน, คริสตัล พาเลซ, เซาแธมป์ตัน, เลสเตอร์ ซิตี้” หรือ “เวสต์แฮม”

แม้กระทั่งทีมที่เพิ่งขึ้นชั้นมาอย่างนิวคาสเซิล ก็ยังติดโผมาในอันดับ 25 ทั้งที่ไม่ค่อยมีความเคลื่อนไหวในตลาดซื้อขายนัก ด้วยค่าตัวนักเตะรวมกัน 162 ล้านยูโร (6,480 ล้านบาท)

ข้อเท็จจริงเหล่านี้แสดงให้เห็นว่า ส่วนแบ่งรายได้ค่าลิขสิทธิ์ถ่ายทอดมหาศาลบวกกับอัตราการแข่งขันค่อนข้างสูงและสูสีใกล้เคียงกันกว่าลีกอื่นๆ ทำให้สโมสรเมืองผู้ดีกล้าลงทุนและทุ่มเงินซื้อนักเตะมาแข่งกันเพื่อชิงอันดับให้เหนือกว่าคู่แข่ง

หรือถ้าจะมองอีกมุมหนึ่ง สโมสรในพรีเมียร์ลีกไม่ว่าจะติดต่อทำธุรกิจระหว่างกันเองหรือกับทีมนอกลีกอื่นๆ ก็มักจะโดนโก่งราคาค่าตัวนักเตะให้สูงเกินจริงอยู่เสมอ

เพราะฝ่ายผู้ค้ารู้ดีว่าแม้จะแพงเกินราคาประเมินไปบ้าง อีกฝ่ายก็ยังพร้อมจะจ่ายอยู่ดี