เมอร์คิวรี่ : บทสรุป “ช้างศึก-ชบาแก้ว” ปีแห่งความเจ็บปวด 2019

ตลอดระยะเวลาในรอบปี 2019 ที่ผ่านมา ถือว่าขุนพลนักเตะ “ช้างศึก” “ทีมฟุตบอลชายทีมชาติไทย” และ “ชบาแก้ว” “ทีมฟุตบอลหญิงทีมชาติไทย” ทำผลงานได้ไม่ดีพอตามเป้าหมาย

ไม่ว่าจะเป็นทีมชุดใหญ่ รวมทั้งทีมชุดเล็กระดับเยาวชนที่ยังไม่สามารถก้าวข้ามไปสู่ในระดับเอเชียได้เลย…

เริ่มต้นที่ทัพ “ช้างศึก” ทีมชาติไทยชุดใหญ่ เปิดหัวด้วยการเข้าร่วมทำศึกฟุตบอล 4 เส้า รายการพิเศษ “ไชน่าคัพ 2019” ที่ประเทศจีน ช่วงวันที่ 21-29 มีนาคม 2562 โดยมี 4 ชาติร่วมโม่แข้งตามปฏิทินฟีฟ่าเดย์ ประกอบด้วย เจ้าภาพ จีน, ไทย, อุรกวัย และโคลอมเบีย 2 ทีมยักษ์ใหญ่จากอเมริกาใต้

ในตอนนั้นช้างศึกภายใต้การคุมทัพของ “โค้ชโต่ย” “ศิริศักดิ์ ยอดญาติไทย” กุนซือใหญ่ และมี “โค้ชโชค” “โชคทวี พรหมรัตน์” เป็นผู้ช่วย พาทีมล้างแค้นจีน ในรอบแรก พร้อมผ่านเข้าสู่รอบชิงชนะเลิศ ก่อนพ่ายอุรุกวัยราบคาบ 0-4 คว้าเพียงรองแชมป์ไชน่าคัพ 2019

ประเดิมต้นปีอย่างไม่เขินอาย

 

จากนั้นโค้ชโต่ยนำทัพเข้าร่วมทำศึกฟุตบอลชิงถ้วยพระราชทานคิงส์คัพ ครั้งที่ 47 ที่ จ.บุรีรัมย์ ช่วงวันที่ 5-8 มิถุนายน 2562 แต่ทว่าลงเตะรอบแรก พลาดท่าพ่ายคู่ปรับตลอดกาลอย่างเวียดนาม 1-0 มิหนำซ้ำในรอบชิงอันดับ 3 ยังพ่ายแพ้ให้กับอินเดีย 0-1 อีกเช่นกัน

นับเป็นการปิดฉากศึกคิงส์คัพ 2019 ด้วยการจบอันดับสุดท้าย พร้อมสร้างสถิติใหม่ที่ไม่อยากให้เกิดขึ้นคือ การจบอันดับบ๊วย และยิงประตูไม่ได้เลยแม้แต่ประตูเดียวในรอบ 23 ปี นับตั้งแต่ได้มีการเปลี่ยนระบบการแข่งขันเป็น 4 ทีมเมื่อปี 1996

ต่อมาสมาคมกีฬาฟุตบอลแห่งประเทศไทยฯ โดย “บิ๊กอ๊อด” “พล.ต.อ.สมยศ พุ่มพันธุ์ม่วง” จึงได้มีการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ด้วยการดึงตัว “อากิระ นิชิโนะ” อดีตกุนซือทีมชาติญี่ปุ่น ชุดฟุตบอลโลก 2018 วัย 64 ปี เข้ามาเป็นกุนซือชาวเอเชียคนแรกของทีมชาติไทย โดยมีภารกิจสำคัญในการทำศึกฟุตบอลโลก 2020 รอบคัดเลือก โซนเอเชีย รอบสอง

แต่ภายหลังจากศึกบอลโลก 2020 ผ่านไปเกินครึ่งทางแล้วในปีนี้ นิชิโนะนำทีมลงเตะ 5 นัดจากทั้งหมด 8 นัด ชนะ 2 เสมอ 2 และแพ้ 1 มี 8 แต้ม รั้งอันดับ 3 ของกลุ่มจี โดยยังเหลือโปรแกรมเตะอีก 3 นัดในปีหน้า

ซึ่งถือว่าสถานการณ์ยังตกเป็นรองทีมร่วมกลุ่มอย่างเวียดนาม, มาเลเซีย และสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ (ยูเออี) อยู่พอสมควรเลยทีเดียว

 

ขณะที่ทัพนักเตะ “ช้างศึกพลังหนุ่ม” ทีมชาติไทย รุ่นไม่เกิน 23 ปี ซึ่งเริ่มต้นปีด้วยการทำศึกฟุตบอลชิงแชมป์เอเชีย 2020 รุ่นไม่เกิน 23 ปี รอบคัดเลือก ที่ประเทศเวียดนาม ช่วงวันที่ 22-26 มีนาคม 2562 ภายใต้การคุมทีมของ “อเล็กซานเดร กาม่า” กุนซือชาวบราซิเลียนในขณะนั้น

แข้งยู 23 ไทย จบรอบคัดเลือกด้วยการคว้าอันดับ 2 แต่ยังผ่านเข้าสู่รอบสุดท้ายแบบอัตโนมัติ เพราะประเทศไทยได้รับเลือกให้จัดศึกชิงแชมป์เอเชีย 2020 ยู 23 รอบสุดท้าย ในปีหน้าช่วงวันที่ 8-26 มกราคม 2563 ซึ่งทางภาครัฐได้เร่งปรับปรุงสนามต่างๆ ให้ทันรองรับการเป็นเจ้าภาพรายการใหญ่ระดับเอเชียที่จะเป็นการชิงโควต้าโอลิมปิกเกมส์ 2020 อีกด้วย

จากนั้น อเล็กซานเดร กาม่า ลาออกจากกุนซือช้างศึกยู 23 ไปรับงานคุมสโมสรเอสซีจี เมืองทอง ยูไนเต็ด ทำให้สมาคมกีฬาฟุตบอลฯ เร่งหาคนเข้ามาขัดตาทัพ ก่อนส่งเผือกร้อนต่อให้กับ “อากิระ นิชิโนะ” ที่ควบคุมทีมชุดนี้ไปด้วย ซึ่งมีโปรแกรมเข้าร่วมมหกรรมกีฬาซีเกมส์ 2019 ที่ประเทศฟิลิปปินส์ ช่วงวันที่ 30 พฤศจิกายน-11 ธันวาคม 2562 ที่เพิ่งผ่านมาไม่นานนี้

แต่ดูเหมือนว่านิชิโนะไม่เข้าใจความคาดหวังของแฟนบอลไทยกับทัวร์นาเมนต์ระดับซีเกมส์ โดยปรากฏว่าทีมชาติไทย ดีกรีแชมป์เก่า 3 สมัยหลังสุด ต้องกระเด็นตกรอบแรกซีเกมส์ในรอบ 8 ปี ด้วยน้ำมือของเวียดนาม

และถือว่าผลงานต่างกันราวฟ้ากับเหว เพราะเวียดนามสามารถกรุยทางผ่านเข้าไปผงาดแชมป์ซีเกมส์ สมัยที่ 2 ในรอบ 60 ปีได้อย่างยิ่งใหญ่สมกับเป็น “ปีทอง” ของทัพ “ดาวทอง” เลยทีเดียว

 

ส่วนทีมชุดเยาวชน รุ่นไม่เกิน 19 ปี คุมทัพโดย “โค้ชหระ” “อิสระ ศรีทะโร” ล้มเหลวไม่เป็นท่าเช่นกัน หลังจากเข้าร่วมศึกชิงแชมป์เอเชีย 2020 รุ่นไม่เกิน 19 ปี รอบคัดเลือก ที่ประเทศกัมพูชา ช่วงวันที่ 2-6 ตุลาคม 2562 แต่กลับทำผลงานจบอันดับ 3 ของกลุ่มจี ด้วยความพ่ายแพ้แบบไม่น่าเกิดขึ้นให้กับกัมพูชา 1-2 และแพ้มาเลเซีย 0-1 ทำให้พลาดที่นั่งผ่านเข้าไปเล่นรอบสุดท้ายในปีหน้าแบบพลิกความคาดหมาย

เช่นเดียวกับทีมชาติไทย รุ่นไม่เกิน 16 ปี ภายใต้การคุมทีมของ “ซัลบาดอร์ บาเลโร การ์เซีย” โค้ชชาวสแปนิชจากเอคโคโน่ ซึ่งนำทีมเข้าร่วมศึกชิงแชมป์เอเชีย 2020 รุ่นไม่เกิน 16 ปี รอบคัดเลือกที่ประเทศพม่า ช่วงวันที่ 14-22 กันยายน 2562 โดยจบอันดับ 2 ของกลุ่มเค หลังจากแพ้เกาหลีใต้ 0-2

พร้อมชวดโควต้าลุยรอบสุดท้ายในปีหน้า

 

ด้านทัพนักเตะ “ชบาแก้ว” “ทีมฟุตบอลหญิงทีมชาติไทย” เข้าร่วมศึกฟุตบอลหญิงชิงแชมป์โลก 2019 ที่ประเทศฝรั่งเศส ช่วงวันที่ 7 มิถุนายน-7 กรกฎาคม 2562 ซึ่งนับเป็นการลุยศึกฟุตบอลโลกสมัยที่ 2 ติดต่อกัน แต่กลับทำผลงานพ่ายรวด 3 นัด ไร้แต้ม จบอันดับสุดท้ายของกลุ่มเอฟแบบหมดท่า

พร้อมกับการประกาศลาออกของ “มาดามแป้ง” “นวลพรรณ ล่ำซำ” ผู้จัดการทีม และ “โค้ชหนึ่ง” “หนึ่งฤทัย สระทองเวียน” เฮดโค้ช ทำให้สมาคมกีฬาฟุตบอลฯ เร่งหาตัวแทน และเป็นทางด้านของ “มาดามเจี๊ยบ” “ศิริมา พานิชชีวะ” เข้ามาทำหน้าที่ผู้อำนวยการทีมฟุตบอลหญิงไทยคนใหม่ และได้ดึงตัว “โค้ชก้าง” “นฤพล แก่นสน” เข้ามาทำทีมต่อ

แต่ดูเหมือนรอยร้าวภายในทัพชบาแก้วยังประสานไม่สนิท ทำให้ในศึกชิงแชมป์อาเซียน 2019 ที่ จ.ชลบุรี แข้งสาวไทยพยายามเค้นฟอร์มเก่งออกมา แต่ก็ยังพ่ายในรอบชิงชนะเลิศให้กับเวียดนาม ในช่วงต่อเวลาพิเศษอย่างเจ็บปวด 0-1 เสียแชมป์อาเซียนไปทั้งที่มีดีกรีเป็นแชมปเก่า 3 สมัยซ้อน และยังได้ลงฟาดแข้งในบ้านของตัวเองแท้ๆ

เช่นเดียวกับในมหกรรมกีฬาซีเกมส์ 2019 ซึ่งเรียกได้ว่าเป็นหนังม้วนเดิมเอามาฉายซ้ำในดินแดนตากาล็อก ทัพชบาแก้วผ่านเข้ามาถึงรอบชิงชนะเลิศได้สำเร็จตามนัด แต่พ่ายให้กับเวียดนาม 0-1 ในช่วงต่อเวลาพิเศษเหมือนเดิม ทำให้ยิ่งเป็นการตอกย้ำความเจ็บปวดลงไปอีก

จนทำให้แข้งสาวจอมเก๋าหลายคนตัดสินใจที่จะยุติเส้นทางการเล่นทีมชาติเลยทีเดียว

 

ช่วงปี 2019 ที่ผ่านมานับเป็น “ปีแห่งความเจ็บปวด” ของทีมฟุตบอลทีมชาติไทยทั้งทีมชาย และทีมหญิงทุกชุด ซึ่งทีมชายแม้จะยังไม่พ่ายให้กับเวียดนามเลยแม้แต่นัดเดียว แต่ผลงานของทัพช้างศึกก็วัดกันกับแข้งดาวทองแทบจะไม่ได้เลย ส่วนทีมหญิงต้องยอมรับว่าทัพชบาแก้วออกอาการแผ่วลงมาเป็นรองแข้งสาวเวียดนามที่ก้าวกระโดดขึ้นมาอย่างรวดเร็ว

อย่างไรก็ตาม ในปีหน้า 2020 ทีมชาติไทยมีโอกาสที่จะกลับมาทวงคืนความยิ่งใหญ่ได้อีกครั้ง โดยในช่วงต้นปีจะมีศึกฟุตบอลชิงแชมป์เอเชีย 2020 รุ่นไม่เกิน 23 ปี รอบสุดท้าย ที่ประเทศไทยเป็นเจ้าภาพเอง ช่วงวันที่ 8-26 มกราคม 2563 ซึ่งแข้งหนุ่มไทยอยู่ในกลุ่มเอ ร่วมกับอิรัก, ออสเตรเลีย และบาห์เรน โดยมีโปรแกรมการแข่งขัน ดังนี้

นัดแรก ทีมชาติไทย ประเดิมสนามพบบาห์เรน วันที่ 8 มกราคม 2563, นัดสอง พบออสเตรเลีย วันที่ 11 มกราคม 2563 และนัดสาม พบอิรัก วันที่ 14 มกราคม 2563 โดยทุกนัดลงเตะที่สนามราชมังคลากีฬาสถาน

ซึ่งถือเป็นศึกหนักที่แฟนบอลชาวไทยคงจะต้องตามไปให้กำลังใจกัน ทั้งเชียร์ติดขอบสนามและเชียร์ติดขอบจอถ่ายทอดสดอีกเช่นเคย

 

จากนั้นจะเป็นคิวของทีมชาติไทยชุดใหญ่ ได้เวลาออกทำศึกครั้งสำคัญอีกครั้งในทัวร์นาเมนต์ฟุตบอลโลก 2020 รอบคัดเลือก โซนเอเชีย รอบสอง 3 นัดสุดท้าย ดังนี้ เปิดบ้านพบอินโดนีเซีย วันที่ 26 มีนาคม 2563, บุกเยือนสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ (ยูเออี) วันที่ 4 มิถุนายน 2563 และปิดท้ายด้วยการเปิดบ้านพบมาเลเซีย วันที่ 9 มิถุนายน 2563

หากทัพช้างศึก ทั้งชุดเล็กและชุดใหญ่ สามารถเค้นฟอร์มแกร่งออกมาได้ในช่วงปีหน้าทั้ง 2 รายการสำคัญก็จะเป็นการเรียกศรัทธา และกลับมาทวงคืนศักดิ์ศรีได้อีกครั้ง

รวมทั้งทัพชบาแก้วที่จะมีการถ่ายเลือดสู่ยุคใหม่ในช่วงปีหน้าเช่นกัน เพื่อความหวังในการกลับมาสู่จุดเดิมที่เคยยืนตระหง่านอย่างสง่าได้อีกครั้ง

จากปีแห่งความเจ็บปวดที่ผ่านพ้นไปแล้วจะกลายเป็นบทเรียนสำคัญให้ “ช้างศึก” และ “ชบาแก้ว” ลุกขึ้นมาสู้ เพื่อทวงความยิ่งใหญ่กลับคืนมาอีกครั้งในปีหน้า!