ที่มา | มติชนสุดสัปดาห์ ฉบับวันที่ 2 - 8 พฤศจิกายน 2561 |
---|---|
คอลัมน์ | Technical Time-Out |
ผู้เขียน | คนโดนสิงห์ |
เผยแพร่ |
การเสียชีวิตของ “วิชัย ศรีวัฒนประภา” ประธานกลุ่มบริษัทคิง เพาเวอร์ และประธานสโมสร “เลสเตอร์ ซิตี้” ในอุบัติเหตุเฮลิคอปเตอร์ตกหลังเกมพรีเมียร์ลีก เมื่อวันที่ 27 ตุลาคม กลายเป็นข่าวใหญ่ไปทั่วโลก โดยเฉพาะอย่างยิ่งในประเทศอังกฤษ
นอกเหนือจากลักษณะของอุบัติเหตุที่รุนแรงและเกิดขึ้นอย่างไม่คาดฝันแล้ว ปัจจัยสำคัญที่ทำให้วงการกีฬาเมืองผู้ดีสะเทือนอารมณ์กับโศกนาฏกรรมครั้งนี้เป็นอย่างมากก็เพราะบทบาทและความผูกพันที่เจ้าสัววิชัยมีต่อสโมสรและวงการฟุตบอลโดยองค์รวม
ตั้งแต่เข้าไปเทกโอเวอร์สโมสรสุนัขจิ้งจอก ซึ่งช่วงหลังคนไทยหลายๆ คนพร้อมใจกันเรียกฉายา “จิ้งจอกสยาม” โดยการซื้อหุ้นใหญ่ต่อจาก “มิลาน มันดาริช” นักธุรกิจชาวอเมริกันเชื้อสายเซอร์เบีย เป็นเงิน 39 ล้านปอนด์ เมื่อปี 2010 ครอบครัวศรีวัฒนประภาก็เปลี่ยนแปลงสโมสรแห่งนี้ไปอย่างสิ้นเชิง
เจ้าสัววิชัยเข้าไปช่วยแก้ปัญหาหนี้สินของสโมสร วางระบบการทำงาน เพิ่มจำนวนเจ้าหน้าที่ อัดฉีดงบประมาณในการซื้อผู้เล่น จนทีมขยับจากลีกแชมเปี้ยนชิพสู่พรีเมียร์ลีก
ก่อนจะสร้างเทพนิยายคว้าแชมป์ลีกสูงสุดของอังกฤษในฤดูกาล 2015-2016 ชนิดหักทุกปากกาเซียน
ความสำเร็จของเลสเตอร์ ซิตี้ ในฤดูกาลนั้น ได้รับการกล่าวขวัญถึงในฐานะ “ปาฏิหาริย์” และหนึ่งในเรื่องราวที่เหลือเชื่อที่สุดในประวัติศาสตร์วงการกีฬาโลก
เพราะพรีเมียร์ลีกนับได้ว่าเป็นลีกลูกหนังที่มีอัตราการแข่งขันสูง มีทีมยักษ์ใหญ่หลายทีมแย่งตำแหน่งแชมป์กัน ขณะที่เลสเตอร์ ซิตี้ เพิ่งหนีตายแบบพลิกนรกในฤดูกาลก่อนหน้านั้น และก่อนแข่งขันฤดูกาลใหม่เปิดฉาก บ่อนพนันถูกกฎหมายของอังกฤษเปิดอัตราต่อรองการเป็นแชมป์ของเลสเตอร์ไว้ที่ 5000-1 ซึ่งเป็นอัตราที่สูงยิ่งกว่าโอกาสที่ “เอลวิส เพรสลีย์” จะยังมีชีวิตอยู่เสียอีก!
สำหรับแฟนบอลหรือแฟนกีฬาวงนอก เจ้าสัววิชัยจึงมีสถานะของชายผู้อยู่เบื้องหลังปาฏิหาริย์ ผู้เป็นแบบอย่างของเจ้าของสโมสรกีฬาที่ไม่ได้เข้าไปแสวงหาผลประโยชน์แต่เพียงอย่างเดียว
แต่สำหรับชาวเมืองเลสเตอร์แล้ว นักธุรกิจใหญ่ชาวไทยผู้นี้มีความหมายแก่พวกเขามากกว่านั้น
หลายคนบอกว่า เมืองนี้ทั้งเมืองเป็นหนี้เจ้าสัวในหลายๆ เรื่อง เพราะเจ้าสัวช่วยฉุดดึงเลสเตอร์จากก้นเหวขึ้นไปอยู่บนยอดเขาที่สูงที่สุดได้อย่างเหลือเชื่อ ช่วยปักหมุดเมืองบนแผนที่ลูกหนังหรือแม้กระทั่งแผนที่โลก ทำให้คนรู้จักเมืองเลสเตอร์มากขึ้น จากเดิมที่หลายคนยังงง นึกว่าออกเสียงว่า “เลเชสเตอร์” เสียด้วยซ้ำ
เจ้าสัวยังสร้างความผูกพันกับชุมชนทั้งระดับบุคคลและหน่วยงาน ด้วยการบริจาคเงินช่วยเหลือโรงพยาบาลหลายแห่งและมหาวิทยาลัยในท้องถิ่นเป็นเงินหลายล้านปอนด์
ขณะเดียวกันก็เผยให้เห็นถึงความใจกว้างและเผื่อแผ่ในแบบคนไทยด้วยการหยิบยื่นน้ำใจเล็กๆ น้อยๆ ให้กับคนในชุมชน เช่น เลี้ยงโดนัท แซนด์วิช เบียร์ ฯลฯ ให้แฟนๆ ฟรีๆ ในวันเกิดของตัวเอง เลี้ยงอาหารเช้ากับแฟนบอลที่เดินทางไปเชียร์ทีมรักในเกมเยือน ควักเงินซื้อตั๋วปีให้กับแฟนบอลบางส่วน เคารพต่อธรรมเนียมปฏิบัติต่างๆ
เช่น การจัดสวนเล็กๆ ในสนาม พร้อมตั้งขวดวิสกี้และแก้วจำนวนมากให้แฟนบอลที่ต้องการยกดื่มเพื่อระลึกถึงบุคคลอันเป็นที่รัก
แฟนบอลเลสเตอร์หลากหลายคนเล่าประสบการณ์เล็กๆ ของตัวเองกับเจ้าสัววิชัยในช่วงที่ยังมีชีวิตอยู่ว่า เขาเป็นคนเงียบๆ ไม่ค่อยคุยกับใคร ไม่ค่อยให้สัมภาษณ์สื่อ แต่มักยิ้มแย้มและโบกมือทักทายทุกคนอย่างเป็นมิตร ทำให้ทุกคนรู้สึกอบอุ่น และรู้สึกเสมือนหนึ่งเขาเป็นคนในครอบครัว
ด้วยการนำของเจ้าสัววิชัย สโมสรเลสเตอร์ ซิตี้ ได้กลายเป็นศูนย์กลางของชุมชนเลสเตอร์เชียร์แบบไม่เคยเป็นมาก่อน ความสัมพันธ์ของคนในชุมชนก็เป็นปึกแผ่นมั่นคงราวกับเป็นครอบครัวขนาดใหญ่โดยมีเจ้าสัวเองเป็นหัวหน้าครอบครัว
จึงไม่ใช่เรื่องน่าแปลกใจที่การสูญเสียในครั้งนี้สะเทือนความรู้สึกของชาวเมืองเลสเตอร์เป็นอย่างมาก และเกือบทุกคนพร้อมใจกันกล่าวว่า นี่เป็นช่วงเวลาที่ดำมืดที่สุดในประวัติศาสตร์สโมสร
เมื่อพวกเขาต้องสูญเสียบุคคลสำคัญที่สุดคนหนึ่งในประวัติศาสตร์เมืองไปอย่างไม่มีวันกลับ
ด้วยความอาลัยรักยิ่ง