“คล็อปป์” กับภารกิจพิสูจน์ฝีมือ (อีกครั้ง)

“ลิเวอร์พูล” กำลังร้อนแรงสุดขีด ตั้งแต่เปิดฤดูกาลจนถึงเกมยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ลีก รอบแบ่งกลุ่มนัดแรก สามารถเก็บชัยชนะแบบ 100 เปอร์เซ็นต์ ได้ 6 นัดติดต่อกัน

จาก 6 นัดนี้ หงส์แดงมาเจองานหนักแบบทดสอบฝีมือกันจริงจัง 2 เกมติด คือเกมพรีเมียร์ลีกพบ “ท็อตแนม ฮอตสเปอร์” เมื่อสุดสัปดาห์ก่อน

และหลังจากนั้นอีก 3 วัน ก็เปิดรังแอนฟิลด์รับการมาเยือนของ “ปารีส แซงต์แชร์แมง” ในศึกยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ลีก นัดกลางสัปดาห์

ทั้ง 2 เกมแม้สกอร์ที่ออกมาจะค่อนข้างสูสี แต่ก็เป็นชัยชนะที่เต็มภาคภูมิของหงส์แดง โดยเฉพาะในแมตช์หลังซึ่งคุมเกมเพรสซิ่งกดดันคู่แข่งระดับแชมป์ลีกเอิงที่มี 2 ซุป”ตาร์ของวงการอย่าง “เนย์มาร์” แข้งดังชาวบราซิเลียน และ “คีเลียน เอ็มบัปเป้” ดาวรุ่งทีมชาติฝรั่งเศสชุดแชมป์โลก ได้อย่างอยู่หมัด

ถ้าไม่ใช่เพราะไปพลาดช่วงครึ่งหลัง อาจจะเก็บ 3 แต้มได้ง่ายกว่านี้

การสร้างลิเวอร์พูลให้เป็นเครื่องจักรเกมรุกที่ทรงประสิทธิภาพ และเริ่มลงตัวในเกมรับมากขึ้นเรื่อยๆ นั้น

คงต้องยกเครดิตให้เยอร์เก้น คล็อปป์ กุนซือชาวเยอรมันซึ่งมารับช่วงต่อจากเบรนแดน ร็อดเจอร์ส ในปี 2015

ตอนที่คล็อปป์ย่ำเท้าสู่แอนฟิลด์ หงส์แดงรั้งอันดับ 10 ของตารางพรีเมียร์ลีก แต่มาวันนี้สามารถออกสตาร์ตฤดูกาลใหม่ด้วยการเก็บชัย 5 นัดรวดในเกมลีก เป็นผลงานดีที่สุดของสโมสรนับตั้งแต่ปี 1990

2 ฤดูกาลแรกของกุนซือชาวเยอรมันอาจจะจบลงแบบมือเปล่า กลายเป็นประเด็นล้อเลียนของแฟนบอลคู่แข่งร่วมลีกหลายทีม แต่เวลานี้เขาได้พิสูจน์ให้เห็นแล้วว่า เขากำลังสร้างหงส์แดงให้เป็นหนึ่งในทีมลุ้นแชมป์ชนิดหวังผลได้ทุกฤดูกาล

ไม่ใช่แค่ทีมที่จะลุ้นแค่ติดอันดับท็อปโฟร์เพื่อลุ้นโควต้าไปเล่นถ้วยยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ลีก อย่างเดียว

คล็อปป์เคยพิสูจน์ฝีมือให้เห็นมาแล้วจากการปั้น “โบรุสเซีย ดอร์ตมุนด์” ขึ้นมาเบียดแย่งแชมป์บุนเดสลีก้าจากยอดทีม “บาเยิร์น มิวนิก” ได้ถึง 2 ครั้งในปี 2011 และ 2012

แถมยังพาทั้งเสือเหลืองและหงส์แดงทะลุถึงรอบชิงบอลถ้วยยุโรปมาแล้วทีมละครั้ง

แม้ว่าด้วยตัวผู้เล่นหรือผลงานโดยภาพรวมในช่วงหลังๆ จะเป็นรองคู่แข่งหลายๆ ทีมก็ตาม

สิ่งที่เปลี่ยนแปลงไปของหงส์แดงในระยะเวลา 3 ปีที่คล็อปป์เข้าไปคุมทีมคือเรื่องตัวผู้เล่น ดังปรากฏว่าในนัดเยือนสเปอร์สนั้น มีเพียง “เจมส์ มิลเนอร์” คนเดียวที่เป็นผู้เล่นตัวจริงเมื่อครั้งคล็อปป์เข้าไปรับงานที่แอนฟิลด์ นอกนั้นเป็นผู้เล่นที่ซื้อมาใหม่ ไม่ก็ขยับมาจากตัวสำรองเมื่อสมัยก่อนทั้งสิ้น

ช่วงตลาดซื้อขาย 2 หนหลังสุด คล็อปป์ยอมกลืนน้ำลายที่เคยแขวะ “แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด” ว่าใช้เงินซื้อนักเตะแบบฟุ่มเฟือย เพราะหงส์แดงเองก็ตัดสินใจทุ่มงบมหาศาลซื้อนักเตะเสริมทัพ อาทิ “เวอร์กิล ฟาน ไดก์” กองหลังชาวดัตช์ ค่าตัว 78.80 ล้านยูโร (3,073.2 ล้านบาท) “อลิสซอน เบ๊กเกอร์” นายทวารแซมบ้า ค่าตัว 62.50 ล้านยูโร (2,437 ล้านบาท) รวมถึง “นาบี เกอิต้า” ดาวรุ่งจากไลป์ซิกที่ทำสัญญาล่วงหน้ากันไว้ ค่าตัว 60 ล้านยูโร (2,340 ล้านบาท)

อย่างไรก็ตาม ผู้เล่นแต่ละคนที่ซื้อมาถือว่าตอบโจทย์ สามารถยึดตำแหน่งตัวจริงเป็นกำลังสำคัญของทีมได้อย่างมีประสิทธิภาพ

ฤดูกาลนี้ หงส์แดงเริ่มต้นอย่างแข็งแกร่ง และมีโอกาสดีในการลุ้นแชมป์หลายๆ รายการที่ลงแข่งขัน แต่ในระยะยาวนั้นจะสามารถรักษาประสิทธิภาพได้เหมือนเดิมหรือไม่เป็นประเด็นที่ต้องตามลุ้นกันต่อ

เหมือนอย่างที่ “แกรี่ เนวิลล์” และนักวิจารณ์หลายๆ คนแสดงความเป็นห่วงว่า หากจะหวังแชมป์หลายๆ รายการในปีเดียวกัน อาจจะเป็นงานหนักจนเกินไป และอาจต้องตัดสินใจทิ้งบางถ้วยไปโดยจัดลำดับความสำคัญว่าอยากได้ถ้วยไหนมากกว่ากัน

ต้องไม่ลืมว่า ฟุตบอลสไตล์คล็อปป์ เน้นเกมบุกแหลก สร้างความตื่นตาตื่นใจจริง แต่ขณะเดียวกันก็บังคับให้ลูกทีมต้องวิ่งให้มาก ขยันไล่บอล ปิดช่องว่างในการทำเกมของคู่แข่ง ถ้าเข้ารอบลึกไปเสียทุกถ้วย โปรแกรมแข่งขันจะยิ่งชุกช่วงท้ายฤดูกาล โดยเฉพาะตั้งแต่คริสต์มาสเป็นต้นไป

ในระยะยาวทำให้นักเตะต้องยิ่งรับภาระหนัก อาจเกิดปัญหาบาดเจ็บหรืออ่อนล้า ทำให้ไม่อยู่ในช่วงท็อปฟอร์มเหมือนต้นฤดูกาล ถึงเวลานั้นจึงอาจต้องยอมสละถ้วยไหนไปบ้างเพื่อมุ่งไปที่แชมป์ใดแชมป์หนึ่งที่ต้องการจริงๆ

ถึงตรงนี้ นักเตะสำรองที่เสริมทัพเข้ามาจะมีความสำคัญ เพราะต้องลงไปช่วยรักษามาตรฐานของทีมให้ยังเดินหน้าต่อไปได้แบบหวังผลต่อเนื่อง เป็นโจทย์สำคัญในการพิสูจน์กึ๋นของคล็อปป์ว่าเตรียมพร้อมรับมือฤดูกาลอันยาวนานและความคาดหวังของแฟนบอลและผู้บริหารทีมไว้มากน้อยขนาดไหน

ถ้าไม่เผื่อใจหรือเตรียมความพร้อมรับสถานการณ์ที่เลวร้าย ก็มีสิทธิจะต้องพลาดหวังไปอีก 1 ปีชนิดที่แค่ “ได้ลุ้น” เฉยๆ เท่านั้น!