“มูรินโญ่” กับอาถรรพ์ฤดูกาลที่ 3?

ศึก “พรีเมียร์ลีก” อังกฤษ ลีกลูกหนังยอดนิยมอันดับ 1 ของโลกเพิ่งเปิดฉากได้ไม่กี่สัปดาห์ แต่บ่อนพนันถูกกฎหมายของอังกฤษต่างพร้อมใจกันยกให้ “โชเซ่ มูรินโญ่” เป็นเต็งหนึ่งของกุนซือที่จะพ้นจากตำแหน่งก่อนใครเพื่อน

เรื่องนี้ไม่ถือเป็นการคาดเดาแบบเกินจริง เพราะมูรินโญ่โดนวิจารณ์อย่างหนักมาตั้งแต่ฤดูกาลก่อนเรื่องแผนการเล่นที่เน้นตั้งรับมากกว่ารุก

แม้จะคว้าอันดับ 2 ของตารางมาได้ แต่ก็ไม่มีแชมป์ใดๆ ติดมือ แถมยังเห็นได้ชัดว่ามาตรฐานเกมห่างไกลจาก “แมนเชสเตอร์ ซิตี้” แชมป์ลีกอยู่มาก

ช่วงปิดฤดูกาลและตลาดซื้อขายนักเตะ ก็มีข่าวลือหนาหูว่ากุนซือชาวโปรตุกีสมีปัญหาขัดแย้งกับลูกทีมหลายราย โดยเฉพาะ “ปอล ป๊อกบา” และ “อองโตนี่ มาร์ซิยาล” ซ้ำร้ายตลาดซื้อขายนักเตะของปีศาจแดงก็เงียบจนน่าใจหาย ถึงจะซื้อผู้เล่นใหม่ๆ เข้ามาบ้าง แต่ชื่อชั้นไม่ถึงขั้นโดดเด่นระดับถมช่องโหว่ในทีมเหมือนกรณี “ลิเวอร์พูล” ดึง “อลิสซอน เบ็กเกอร์” มาแก้ปัญหาเรื่องนายทวาร

แถมช่วงออกสตาร์ตฤดูกาล ฟอร์มของปีศาจแดงยังคงไม่เข้าตา นัดแรกชนะ “เลสเตอร์ ซิตี้” แบบทุลักทุเล นัดสองก็ไปพ่าย “ไบรตัน” แบบเล่นผิดฟอร์ม

ยิ่งโหมให้อนาคตของมูรินโญ่สั่นคลอนขึ้นเรื่อยๆ

หนึ่งในประเด็นที่สื่อและแฟนๆ หยิบยกมาพูดถึงคือ แม้เจ้าของฉายา “สเปเชียล วัน” คนนี้จะจัดเป็นยอดกุนซือคนหนึ่งของยุคปัจจุบัน การันตีด้วยถ้วยยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ลีก 2 สมัย, ถ้วยแชมป์ลีก 8 ถ้วยในหลากหลายประเทศ และแชมป์ฟุตบอลถ้วยอีก 15 ใบ แต่มักจะเผชิญกับ “อาถรรพ์ฤดูกาลที่ 3” ผลงานย่ำแย่จนต้องอำลาทีมทุกทีไป

อันที่จริง “ตำนาน” เรื่องนี้ ว่ากันตามจริงอาจจะถูกเพียงครึ่งเดียว ครึ่งหนึ่งที่ถูกคือจากประวัติการทำงานที่ผ่านมา มีเพียงครั้งเดียวเท่านั้นที่กุนซือวัย 55 ปี อยู่กับทีมจนถึงฤดูกาลที่ 4 นั่นคือการคุมเชลซีรอบแรก แต่สุดท้ายก็ไม่วายโดนปลดก่อนช่วงคริสต์มาสในฤดูกาลนั้นอยู่ดี

ส่วนเรื่องผลงานย่ำแย่ก็ไม่ถูกเสียทีเดียว อย่างช่วงเริ่มต้นงานโค้ชกับ “ปอร์โต้” สโมสรที่บ้านเกิด ฤดูกาลแรก (2001-2002) พาทีมไต่จากอันดับ 5 ขึ้นไปอยู่อันดับ 3 ทั้งที่เริ่มคุมทีมกลางฤดูกาล

พอปีถัดมาก็พาทีมคว้าแชมป์ลีกโปรตุเกส แชมป์ยูฟ่าคัพ และโปรตุกีสคัพ

ความสำเร็จอันยอดเยี่ยมตั้งแต่อายุยังน้อยทำให้มูรินโญ่โดนเชลซีดึงตัวไปคุมทีมในปี 2004 ซึ่งฤดูกาลแรก (2004-2005) เขาพาทีมคว้าแชมป์พรีเมียร์ลีก, ลีกคัพ และเข้าถึงรอบตัดเชือกยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ลีก ปีถัดมาได้แชมป์ลีกอีกสมัยและถ้วยน้ำจิ้มอย่างคอมมิวนิตี้ชีลด์

พอมาฤดูกาลที่ 3 จบที่ตำแหน่งรองแชมป์ลีก แต่ได้ถ้วยเอฟเอคัพกับลีกคัพ รวมถึงเข้ารอบรองชนะเลิศแชมเปี้ยนส์ลีกอีกหน กระทั่งฤดูกาลที่ 4 จึงลาออกหลังจากเริ่มต้นไปได้เดือนเดียว

พอย้ายไปอยู่กับ “อินเตอร์ มิลาน” ทำทีมฤดูกาลแรก (2008-2009) ก็เป็นแชมป์กัลโช่ เซเรียอา กับถ้วยซูเปอร์โคปปา อิตาเลียนา ฤดูกาลถัดมาประสบความสำเร็จยิ่งใหญ่ พาทีมงูใหญ่คว้า “ทริปเปิลแชมป์” ครั้งแรกในประวัติศาสตร์กับ 3 ถ้วยใหญ่ ทั้งยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ลีก, กัลโช่ เซเรียอา และโคปปา อิตาเลีย สุดท้ายก็โดน “รีล มาดริด” ทาบทามไปคุมทีมสู้กับ “บาร์เซโลนา”

ฤดูกาลแรกกับลาลีก้า (2010-2011) มูรินโญ่พาราชันชุดขาวคว้าแชมป์โกปา เดล เรย์ กับตำแหน่งรองแชมป์ลาลีก้า และเข้ารอบรองชนะเลิศแชมเปี้ยนส์ลีก พอปีถัดมาพามาดริดผงาดแชมป์ลีก แต่ก็จอดที่รอบตัดเชือกแชมเปี้ยนส์ลีกเช่นกัน พอฤดูกาลที่สาม ได้แชมป์ซูเปอร์โกปา เด เอสปันญ่า และรองแชมป์โกปา เดล เรย์ ส่วนถ้วยยุโรปยังคงหยุดที่รอบตัดเชือกเช่นเคย

สุดท้ายหลังจากลาจากกันด้วยข้อตกลงร่วมกัน มูรินโญ่ตัดสินใจกลับสู่สแตมฟอร์ดบริดจ์ และพาทีมคว้าแชมป์ในฤดูกาลแรกรอบสอง (2013-2014) พอปีถัดมาสามารถป้องกันแชมป์ไว้ได้ และได้ถ้วยลีกคัพมาอีกใบ แต่พอฤดูกาลที่สาม สิงห์บลูเล่นผิดฟอร์ม จึงโดนปลดในเดือนธันวาคม

มาถึงแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ฤดูกาลแรกแม้จะจบแค่อันดับ 6 ของพรีเมียร์ลีก แต่ก็พาทีมคว้าดับเบิลแชมป์กับถ้วยยูโรป้าลีกและลีกคัพ แต่ฤดูกาลที่แล้วไร้แชมป์ แม้จะได้ดับเบิลรองแชมป์กับพรีเมียร์ลีกและเอฟเอคัพก็ตาม

เรียกว่าไม่ใช่ทุกครั้งที่จบไม่สวยในฤดูกาลที่สาม หลายครั้งเป็นเพราะผลงานดีจึงถูกทีมอื่นดึงตัวไปคุมทัพ แต่ถ้าเป็นตอนที่จากกันแบบแย่ๆ จริงๆ ไม่ใช่แค่เรื่องผลงานไม่ดีอย่างเดียว ยังมีปัญหาข้อขัดแย้งกับผู้บริหารทีมและนักเตะพ่วงเข้ามาด้วยจนสถานการณ์ตึงเครียดเกินกว่าจะร่วมงานกันต่อไปได้

ส่วนกรณีล่าสุดกับทีมปีศาจแดงนั้น คาดว่าคงเหลือเวลาให้มูรินโญ่กู้ศรัทธาของตัวเองอีกไม่มากแล้ว หากแพ้หรือเสมอแบบฟอร์มย่ำแย่อีกไม่กี่นัด แถมมีข่าวลือเบื้องหลังว่ามีปัญหากับนักเตะหลายคน (แม้สื่อบางสำนักจะบอกว่าเป็นแค่เรื่องยกเมฆก็ตาม)

ดูท่าว่าจะเป็นการนับถอยหลังสู่ “อาถรรพ์ฤดูกาลที่ 3” ของสเปเชียล วัน อย่างไม่ต้องสงสัย!