ที่มา | มติชนสุดสัปดาห์ ฉบับวันที่ 25 - 31 มกราคม 2562 |
---|---|
คอลัมน์ | รายงานพิเศษ |
ผู้เขียน | มงคล วัชรางค์กุล |
เผยแพร่ |
บินมาไกลสุดขอบฟ้า ถึงเมือง Purto Iguazu ก็เพื่อสัมผัสความยิ่งใหญ่ของน้ำตกอิกัวซู (Iguazu)
แต่ด้วยฝนฟ้าที่ไม่เป็นใจ วันที่วางแผนจะไปน้ำตกจึงได้ล่องเรือท่องแม่น้ำ 3 ประเทศมาแทน ทำให้ทัวร์คราวนี้สมบูรณ์ครบถ้วน
ตื่นเช้าวันที่สาม วันสุดท้ายใน Iguazu คราวนี้ฟ้ากระจ่าง แดดแรงแสง เตรียมตัวไปน้ำตกตามสบายสไตล์เที่ยวกันเอง ไม่เร่งรีบ กินอาหารเช้าแล้วเช็กเอาต์ตอน 11 โมง ฟรอนต์แนะนำให้เอากระเป๋าไปที่น้ำตกเลย เพราะอยู่บนเส้นทางใกล้สนามบิน ไม่ต้องย้อนกลับมาที่โรงแรมอีก ซึ่งอาจจะทำให้ตกเครื่องบินได้
เรียกแท็กซี่มารับที่โรงแรมไปส่งปากทางอุทยานแห่งชาติอิกัวซูในราคามาตรฐาน 500 เปโซ วิ่งไปบนถนนแสนสวยที่แหวกไปในระหว่างราวป่าบนเนินสูงต่ำตลอดทางจนถึงปากทางอุทยาน
ลากกระเป๋าไปเช่าล็อกเกอร์ใหญ่ 300 เปโซ ยัดสารพัดกระเป๋าสองคนใส่ไปได้หมด
แค่นี้ก็เดินทางท่องเที่ยวน้ำตกอิกัวซูได้โดยปลอดโปร่งใจแล้ว
ซื้อตั๋วชมน้ำตกคนละ 650 เปโซ ราคานี้รวมค่ารถไฟไปกลับ 2 ช่วง หรือจะเดินอย่างเดียวไม่นั่งรถไฟก็ตามใจ ไม่มีราคาซีเนียร์ ทุกคนจ่ายเท่ากันหมด สถานีรถไฟแห่งแรกอยู่ห่างปากประตู 500 เมตร แต่ผมเลือกนั่งคอยรอรถกอล์ฟมารับ ถนอมแรงไว้เดินไปน้ำตก
ต้องเอาบัตรผ่านประตูไปแลกบัตรรถไฟแล้วต่อคิวรอที่ยาวพอสมควร นักท่องเที่ยวบางคนไม่สนใจรอรถไฟ ใช้วิธีย่ำเท้าไปตามทางเดินริมทางรถไฟ พิสูจน์สมรรถภาพร่างกายว่ายังแกร่งพอ
ที่บริเวณสถานีรถไฟมีสิ่งตื่นตาตื่นใจ คือตัว Coati หน้าตาคล้ายตัวแร็กคูนเดินอยู่ตามทางเดิน สัตว์พวกนี้เชื่องมาก เดินตามคนเพื่อรออาหาร (แต่ถ้าเผลอจะมาตะปบแย่งถุงอาหารไปต่อหน้าต่อตา)
รถไฟเป็นรถแบบท่องเที่ยวโบกี้เล็กๆ วิ่งด้วยความเร็ว 30 กิโลเมตรต่อชั่วโมง เส้นทางรถไฟตัดไประหว่างราวป่า มีที่ให้รถไฟหลีกกันระหว่างทาง ตอนที่รถวิ่งหลีกกัน นักท่องเที่ยวต่างพากันโบกมือ ส่งรอยยิ้มให้แก่กันด้วยไมตรี รวมทั้งโบกมือให้เพื่อนนักท่องเที่ยวที่กำลังย่ำเท้าอยู่ริมทางรถไฟ นั่งรถไฟช่วงแรกใช้เวลาวิ่งราว 15 นาที
พอถึงสถานีรถไฟที่สอง ไปรับตั๋วรถไฟ ปรากฏว่าต้องรออีกถึง 8 รอบจึงจะถึงคิว ที่บริเวณโต๊ะนั่งรอรถไฟมีซุ้มจำหน่ายอาหารพวกกินเล่น มีตัว Coati ฝูงใหญ่ร่วมสิบตัวมาป้วนเปี้ยนหาอาหารใต้โต๊ะ แถมมีลิงอีกฝูงในจำนวนพอๆ กันมาห้อยโหนตามกิ่งไม้ แย่งฉกถุงอาหารจากนักท่องเที่ยวจีนให้หวีดร้อง
นั่งรอคิวรถไฟคำนวณแล้วแต่ละรอบใช้เวลาราว 20 นาที ผ่านไปได้แต่ครึ่งคิวหมดเวลาไปชั่วโมงกว่า ถ้ารอไปตามคิวคงตกเครื่องบินตอนเย็นแน่ จึงไปอธิบายกับเจ้าหน้าที่คิวรถไฟ
ซึ่งช่วยจัดลัดคิวให้เราทันที
ที่สถานีช่วงสุดท้ายคือการเริ่มต้นเดินเท้าสู่จุดชมวิวน้ำตกอิกัวซู
ทางเดินเป็นตะแกรงเหล็กพาดเหนือสายน้ำลำธารและลำห้วยบริวารน้ำตกอันไพศาล สะพานเหล็กนี้ทอดยาวเป็นระยะทางกว่าหนึ่งกิโลเมตร ไม่มีจุดไหนที่ให้เท้าสัมผัสพื้นดิน
สำหรับคนที่เดินไม่ไหว จะมีรถนั่งให้บริการ ล้อทำด้วยเหล็กไม่ใช่ยาง เพื่อให้หมุนบนตะแกรงเหล็กได้ดี ต้องรุนรถกันเองไม่มีคนให้บริการ
ถึงตรงนี้ท้องฟ้าที่เคยเจิดจ้าก็เริ่มปกคลุมด้วยละอองไอน้ำจากน้ำตก มองดูคล้ายฝนจะตก แต่นั่นคืออิทธิพลจากน้ำตกอิกัวซู
นักท่องเที่ยวที่เพิ่งมาต่างเดินมุ่งหน้าสู่น้ำตก สวนทางกับคนที่ชมน้ำตกแล้วกำลังเดินกลับ
ส่วนคนที่อยากล่องเรือดูน้ำตกก็มีท่าให้ลงเรือ เป็นเรือลำเล็กคล้ายเรือแคนนูนั่งได้ 5-6 คน
ผมเดินย่ำเท้าไปบนตะแกรงเหล็กตามสภาพร่างกาย ใช้เวลาราวหนึ่งชั่วโมงโดยไม่หยุดพักตามจุดแวะพักที่ทำม้านั่งไว้ให้ ด้วยต้องทำเวลาให้ทันเที่ยวบิน
แล้วก็ถึงจุดหมายที่ดั้นด้นมาไกลสุดฟากฟ้า
ก่อนจะถึงบริเวณน้ำตก จะได้ยินเสียงสายน้ำดังอื้ออึงมาแต่ไกล ก่อนที่ภาพวิวช่วงปลายน้ำตกจะปรากฏต่อสายตา แล้วเดินไล่เรียงไปตามเส้นทางและฝูงชนสู่จุดชมวิว
ธงชาติอาร์เจนตินาผืนใหญ่โบกไสวตรงปลายพรมแดน มีม่านละอองน้ำตกเป็นฉากอยู่เบื้องหลัง ฝั่งบราซิลอยู่เยื้องไปด้านหน้า
เดินเบียดเสียดผู้คนไปที่จุดชมวิวที่ปลายทางเดิน มีราวเหล็กกั้นไว้โดยรอบด้านกันคนหล่นลงไป มวลน้ำมหาศาลกว้างยาวสุดสายตาเต็มจออยู่ตรงหน้า ชะโงกหน้าลงไปมองกระแสน้ำที่ถาโถมกระหน่ำลงไปในหุบเหวเบื้องล่าง ไกลลึกล้ำสุดพรรณนา มีแต่มวลไอน้ำฟุ้งกระจายพร้อมเสียงอื้ออึงแห่งมหานที
ธรรมชาติยิ่งใหญ่ อลังการ หาที่สุดมิได้
นํ้าตกอิกัวซูเป็นหนึ่งในน้ำตกที่ใหญ่ที่สุดในโลก ผมเคยเห็นน้ำตกใหญ่อย่างน้ำตกไนแองการา (Niagara Falls) มาแล้ว แต่เมื่อมาเห็นอิกัวซูก็ต้องบอกว่า ไนแองการาเป็นน้ำตกเด็กๆ ไปเลย เพราะสถิติบอกว่า อิกัวซูใหญ่กว่าไนแองการาถึง 30 เท่า
ด้วยความที่ประกอบไปด้วยน้ำตกใหญ่น้อยมากถึง 275 สาย มีความกว้าง 2.7 กิโลเมตร สูง 60 ถึง 82 เมตร มีพื้นที่ร้อยละ 80 อยู่ในฝั่งอาร์เจนตินา อีกร้อยละ 20 อยู่ฝั่งบราซิล
อิกัวซูจึงได้รับสมญานามว่า น้ำตกสองแผ่นดิน
เป็นหนึ่งในเจ็ดแห่งสิ่งมหัศจรรย์ธรรมชาติโลกยุคใหม่ (New Wonders of Nature)
จุดชมวิวที่เรากำลังยืนอยู่เป็นจุดที่มีชื่อเสียงที่สุดในกลุ่มน้ำตกอิกัวซู เรียกจุดนี้ว่า “คอหอยปีศาจ ( Devil Throat )” เป็นจุดที่น้ำตกสองชั้นไหลมารวมกันในลักษณะรูปตัวยู มีความสูง 82 เมตร เป็นจุดที่สูงที่สุดแห่งน้ำตก กว้าง 150 เมตร และยาวกว่า 700 เมตร เกิดเป็นมวลน้ำมหาศาลที่ไหลตกลงมากึ่งกลางหุบเหว เหมือนมวลน้ำเหล่านี้กำลังโดนสูบลงหุบเหวอันลึกล้ำ
กระไอมวลน้ำตกคลุ้งไปทั่ว ละอองน้ำฟุ้งกระจายโดยรอบ ทำให้ใบหน้า เสื้อผ้าเปียกน้ำพอสมควร นักท่องเที่ยวที่เตรียมตัวมาดีจะมีเสื้อกันฝนห่มคลุม แต่ตัวเราเปียกเปี่ยมล้นด้วยละอองไอน้ำแห่งอิกัวซู
รีบถ่ายรูปวิวและรูปเซลฟี่กับความยิ่งใหญ่แห่งน้ำตกอิกัวซูไว้เป็นที่ระลึก พร้อมจ้องมองลงไปยังหุบเหวธารน้ำตกที่ไม่อาจหยั่งถึงเบื้องล่าง บันทึกไว้ในความทรงจำนิรันดร์ แล้วหลีกทางให้นักท่องเที่ยวอื่นได้มีโอกาสบ้าง
เต็มตื้นกับน้ำตกอิกัวซูแล้วต้องย่ำเท้ากลับตามเส้นทางเดิม ใช้เวลาเดินเท้าอีกหนึ่งชั่วโมง เป็นการพิสูจน์ว่า วันนี้ร่างกายยังไหวกับเส้นทางทรหดสายนี้
ยังมีทางเดินอีกเส้นทางพาไปยังจุดล่างสุดแห่งน้ำตกอิกัวซู ต้องเดินจากจุดเริ่มต้นเป็นระยะทางเกือบ 2 กิโลเมตรในหนังสือนำเที่ยวบอกว่าที่จุดนี้จะเห็นอิกัวซูสูงแหงนคอตั้งบ่า
ที่สถานีรถไฟคิวยาวเหมือนเดิม ต้องเจรจาลัดคิวกับคนควบคุมด้วยเหตุผลว่าอาจตกเครื่องบินเที่ยวหกโมงเย็นกลับบัวโนสไอเรส โชคดีที่เจ้าหน้าที่ทั้งสองสถานีเต็มใจให้บริการลัดคิวโดยฉับไว
นั่งรถกอล์ฟออกไปที่ปากประตูวนอุทยาน เบิกกระเป๋าคืนจากล็อกเกอร์ แล้วนั่งแท็กซี่ไปถึงสนามบินก่อนเวลาหนึ่งชั่วโมง แถมเครื่องตัวที่มารับดีเลย์อีกเกือบชั่วโมงเลยมีเวลาหายใจได้โล่งอก
ภูมิใจที่ทำทริปอิกัวซูได้ครบถ้วนสมบูรณ์
ตอนที่เครื่องแลนดิ้งสนามบิน EZE ที่บัวโนสไอเรสอย่างนิ่มนวล คนโดยสารที่ส่วนมากเป็นอาร์เจนติเนียนต่างปรบมือให้กัปตันทั้งลำ ไม่ได้ยินเสียงปรบมืออย่างนี้มานานแล้ว บางเที่ยวบินมีผมปรบมืออยู่คนเดียว
ได้มาสัมผัสที่นี่ ในดินแดนคนอาร์เจนติเนียนที่มากล้นด้วยวัฒนธรรม