เชิงบันไดทำเนียบ : ตำรารบ “โทนี่” ลับคมดาบ “อัศวินม้าขาว” ยุทธวิธี “นารีขี่ม้าขาว”

ในสภาวะที่เกิด “วิกฤตศรัทธาผู้นำ” ผู้ที่เห็นช่องทาง “ตลาดการเมือง” อย่าง “ทักษิณ ชินวัตร” บุกตลาดคลับเฮาส์รีแบรนด์ตัวเองเป็น “พี่โทนี่” เจาะตลาด “คนรุ่นใหม่” พบปะ “เอฟซีเพื่อไทย” ปลุกฝัน “ไทยรักไทย” กลับมาอีกครั้ง ท่ามกลางการแสวงหา “ผู้นำคนใหม่” ของสังคม ที่ต้องการได้ผู้นำที่มาพลิกฟื้นเศรษฐกิจเป็นหลัก จากวิกฤตโควิดที่ทำให้เกิด “วิกฤตซ้อนวิกฤต” ขึ้นมา ทั้งเรื่อง “การเมือง-ปากท้อง” ที่ทำให้ “รบ.ประยุทธ์” อยู่ในสภาวะซวนเซอย่างมาก
.
หนึ่งในชื่อที่ถูก “ชู” ขึ้นมาและเป็นที่จับตามองอย่างมากคือ “เศรษฐา ทวีสิน” บิ๊กบอสแสนสิริ แม้ที่ผ่านมา “เศรษฐา” จะปฏิเสธการลงสู่สนามการเมืองหรือขึ้นเป็นนายกฯ แต่หากจับท่าทีก็เป็นไปแบบ “แบ่งรับแบ่งสู้” อีกทั้ง “เศรษฐา” ยังใช้ช่องทางโซเชียลฯโพสต์เรื่องการเมืองบ่อยครั้ง แน่นอนว่าลักษณะเช่นนี้ไม่ใช่ “วิสัยนักธุรกิจ” ในเมืองไทย แต่เกิดขึ้นกับ “เศรษฐา” ทำให้แสงส่องมายังตัวเขามากขึ้น อีกทั้งที่ผ่านมา “เศรษฐา” ก็กิจกรรมสาธารณะเช่นกัน เพื่อช่วยสถานการณ์โควิด หนึ่งในนั้น คือ การมอบเตียงสนามให้กับ รพ.สนาม ซึ่งพบว่าเป็นพื้นที่ภาคอีสาน ที่มี ส.ส.เพื่อไทย เป็นเจ้าของพื้นที่

สำหรับ “เศรษฐา” เอง มีความสัมพันธ์ที่ใกล้ชิดกับ “ตระกูลชินวัตร” ด้วย ดังนั้นการขยับของ “เศรษฐา” ที่ผ่านมา จึงมี “นัยสำคัญ” ต่ออนาคตของเขาเอง
.
ในอดีตเมื่อ 10 ปีก่อน “ทักษิณ” เคยปลุกปั้น “น้องสาว” อย่าง “ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร” ให้ขึ้นเป็น นายกฯ ภายใน 49 วัน ด้วยกระแส “ฟีเวอร์” ทำให้ชนะเลือกตั้งจนแทบตั้ง “รบ.พรรคเดียว” ได้อยู่แล้ว แต่เอาเข้าจริงแล้ว “ยิ่งลักษณ์” เข้ามามีบทบาทใน “พรรคเพื่อไทย” มาก่อน ไม่ใช่มาเข้าพรรคช่วง 49 วัน อีกทั้งเป็นชื่อที่รู้จักในแวดวงนักธุรกิจมานาน

แต่ตาม “ยุทธวิธีทักษิณ” แล้วนั้น จะไม่รับเปิดตัว แคนดิเดตนายกฯ เร็ว เพราะจะตามมาด้วยการ “ขุดคุ้ย” ทำให้เกิด “แผลทางการเมือง” ก่อนออกศึก ดังนั้นจึงมีความเป็นไปได้ว่า “ทักษิณ” กลับมาใช้ “ยุทธวิธี” ที่เคยใช้เมื่อ 10 ปีก่อน จากการปั้น “นารีขี่ม้าขาว” สำเร็จมาแล้ว มาถึงวันนี้เตรียมปั้น “อัศวินม้าขาว” ต่อไป ซึ่งทั้ง “ยิ่งลักษณ์-เศรษฐา” ต่างมีคุณสมบัติเหมือนกัน คือ เป็นนักธุรกิจ มีภาพลักษณ์ดี ไม่มีศัตรูและไม่มีแผลทางการเมืองเด่นชัด
.
แต่ปัจจุบันมีโจทย์ที่ยากกว่าคือ “คู่แข่ง” ไม่ใช่ “ประชาธิปัตย์” เช่นเดิม แต่เป็น “พลังประชารัฐ” ที่ล้วนเป็นคนที่เคยอยู่ “ไทยรักไทย-เพื่อไทย” มาด้วยกัน เรียกได้ว่า “รู้ทันกัน” อีกทั้ง “โครงสร้าง-ดุลอำนาจ” ทางการเมืองของประเทศ ก็เปลี่ยนไปในช่วง 10 ปีที่ผ่านมา และการเกิดขึ้นของ “เครือข่ายอนาคตใหม่” ที่เป็น “หนามยอกอก” ของพรรคเพื่อไทย ดังนั้นยุทธวิธีแบบเดิมๆ อาจเอาชนะ “เครือข่าย 3ป.” ไม่ได้อีกแล้ว