เมอร์คิวรี่ : ผ่าวิสัยทัศน์ “9 แคนดิเดต” ชิงเก้าอี้ผู้ว่าการกีฬาไทย

เก้าอี้ตำแหน่งผู้ว่าการการกีฬาแห่งประเทศไทย (กกท.) ของ “บิ๊กเสือ” “สกล วรรณพงษ์” กำลังจะหมดวาระเกษียณอายุราชการในตำแหน่งลงวันที่ 30 มิถุนายน 2561

ซึ่งเมื่อสุดสัปดาห์ที่ผ่านมา “เขย่าสนาม” ได้เจาะลึกไปยังตัวตนของ 9 ผู้สมัครลงชิงตำแหน่งผู้ว่าการ กกท.คนใหม่ ว่า แต่ละคนมีเส้นทาง และแรงสนับสนุนอย่างไรบ้าง…

แน่นอนว่าผู้ที่จะเข้ามาทำหน้าที่ขับเคลื่อนพัฒนาวงการกีฬาของไทยจะต้องเป็นคนที่มีความสามารถ และคลุกคลีอยู่กับวงการกีฬาไทยมาอย่างยาวนาน เพราะจะรู้เบื้องลึกเบื้องหลังในการแก้ไขปัญหา เพื่อให้เกิดการพัฒนาอย่างแท้จริง

ซึ่งแคนดิเดตทั้ง 9 คนต่างได้แสดงนโยบายวิสัยทัศน์เอาไว้ในมุมมองที่น่าสนใจ

 

ผู้สมัครคนแรก “ณัฐวุฒิ เรืองเวส” รองผู้ว่าการฝ่ายกีฬาเป็นเลิศ และวิทยาศาสตร์ เป็นคนที่คลุกคลีอยู่กับการพัฒนากีฬาเป็นเลิศของไทยมาอย่างยาวนาน และมีส่วนสำคัญในการช่วยยกระดับทัพนักกีฬาไทย สร้างความสำเร็จมาแล้วมากมาย ทั้งในมหกรรมกีฬาซีเกมส์, เอเชี่ยนเกมส์ และโอลิมปิกเกมส์

ณัฐวุฒิระบุว่า มีความพร้อม และมั่นใจที่จะเข้าสู่กระบวนการสรรหาผู้ว่าการ กกท. โดยตัวเองมีแนวคิดที่อยากทำมากกว่า 10 โครงการ ที่จะนำเสนอต่อคณะกรรมการสรรหา ซึ่งปัจจุบันนี้วงการกีฬาไทยเป็นที่รู้จักในระดับโลก เพราะหลายส่วนได้ทำงานหนักปูทางมาแล้ว ดังนั้น จะต้องสานต่อเพื่อให้ไทยเป็นสปอร์ต เดสติเนชั่น อย่างแท้จริงต่อไป

คนต่อมา “พ.ท.รุจ แสงอุดม” รองผู้ว่าการฝ่ายกีฬาอาชีพ และสิทธิประโยชน์ ถูกยกให้เป็นเต็ง 1 ของกระบวนการสรรหาในครั้งนี้ ซึ่งถือเป็นอีกคนที่ทำกีฬามายาวนาน และแม้ผลงานที่ผ่านมาอาจไม่เด่นชัดมากนัก แต่ด้วยความประนีประนอมโอนอ่อนผ่อนตน ประกอบกับการมีแรงสนับสนุนใหญ่ของวงการกีฬาไทย ทำให้จะมองข้ามเขาไม่ได้เลย

พ.ท.รุจบอกว่า พร้อมใช้ความอ่อนน้อมถ่อมตน ประสานความช่วยเหลือทุกองค์กรทุกภาคส่วน เพื่อร่วมสนับสนุนกีฬาไปด้วยกัน และลดปัญหาความขัดแย้งให้ทำงานไปในทิศทางเดียวกัน ยึดหลักเข้าใจคน และร่วมมือกันทำงาน รวมทั้งจะนำยุทธศาสตร์ชาติ 20 ปี มาเดินหน้า กกท. ไปด้วยกัน เพื่อสร้างความหลากหลาย และโดดเด่นให้เจริญก้าวหน้ายิ่งขึ้น

ถัดมาเป็น “ราเชลล์ ได้ผลธัญญา” รองผู้ว่าการฝ่ายส่งเสริมกีฬา ซึ่งเติบโตกับงานฝ่ายคลัง และภูมิภาค รวมทั้งผ่านงานมาทุกตำแหน่งใน กกท. มากว่า 30 ปีจนก้าวมาถึงจุดนี้ได้ โดยนับเป็นบุคคลหนึ่งที่ได้พบเห็นว่า ทุกงานภายใน กกท. ต่างมีปัญหามากมาย และพร้อมที่จะเข้ามาทำหน้าที่แก้ไขสะสาง

ราเชลล์กล่าวว่า จุดเด่นของตัวเองคือ แก้ไขปัญหาเฉพาะหน้าได้ดี หาสาเหตุ สามารถแก้ปัญหาได้ โดยวางแผนจะเน้นให้คนดูกีฬามากขึ้น ปลูกฝังให้สนใจกีฬาตั้งแต่เด็ก มีการประชาสัมพันธ์กีฬามากขึ้น เพื่อเดินหน้าไปสู่การพัฒนาอุตสาหกรรมกีฬา ส่วนสิ่งที่จะเสนอให้เลิกจะไปทบทวนในทุกโครงการ ถ้าโครงการไหนไม่ดีก็จะยกเลิกทันที

สำหรับผู้สมัครทั้ง 3 คนถือเป็น “คนใน” ของ กกท. ที่ต่างรู้ปัญหาภายในองค์กรเป็นอย่างดี และพร้อมเดินหน้าแก้ไขปัญหาตามนโยบาย และวิสัยทัศน์ของแต่ละคน

 

อย่างไรก็ตาม ยังมีอีก 6 รายที่เป็น “คนนอก” แต่ก็ผ่านประสบการณ์ในวงการกีฬาไทยมาอย่างโชกโชนเช่นกัน และพร้อมที่จะเสนอตัวเข้ามาทำหน้าที่นายใหญ่คนใหม่แห่งค่ายหัวหมาก

“สิริพงศ์ อังคสกุลเกียรติ” นายกสมาคมกีฬาแห่งจังหวัดศรีสะเกษ และนักธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ชื่อดังแห่งภาคอีสาน ซึ่งตัดสินใจลาออกจากบอร์ด กกท. เพื่อลงชิงชัยตำแหน่งนี้ ถือเป็นหนึ่งคนนอกที่น่าจับตามองมากกับการเข้ามาเป็นคนใน กกท. โดยที่ผ่านมาประสบความสำเร็จในการทำธุรกิจมากมาย และพร้อมนำประสบการณ์มาพัฒนากีฬาไทย

สิริพงศ์เปิดใจว่า ส่วนตัวเป็นคนมองเห็นโอกาสหลังทำธุรกิจมานาน รวมทั้งยังได้ประสานงานกับสมาคมกีฬา ทั้งในระดับประเทศ และระดับจังหวัด การจัดอีเวนต์กีฬา และการสร้างสนามกีฬาให้โอกาสคนได้เล่นกีฬา และโอกาสให้บุคลากรกีฬาแสดงศักยภาพของตัวเองให้ดีที่สุด ซึ่งพร้อมนำวิสัยทัศน์เข้ามาช่วยพัฒนาวงการต่อไป

ถัดมาเป็น “ดร.ก้องศักด ยอดมณี” บุตรชายของ “ดร.สุวิทย์ ยอดมณี” อดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา เป็นอดีตหนุ่มธนาคารที่พร้อมหันเหเส้นทางเข้ามาจับงานด้านกีฬา พร้อมกับสายสัมพันธ์ของบิดาที่ยังคงแน่นแฟ้นกับเหล่าทัพสืบจนปัจจุบัน ทำให้ผู้สมัครรายนี้เรียกได้ว่าจะต้องจับตามองไม่ให้คลาดสายตา

ดร.ก้องศักดระบุว่า สิ่งแรกจะทำให้ กกท. เป็นองค์กรดิจิตอล เบิกจ่ายเงินงบประมาณทันสมัย และรวดเร็วขึ้น ลดขั้นตอนเอกสาร เพื่อให้สามารถนำไปใช้พัฒนากีฬาได้เร็วกว่าเดิม ผลักดันให้ไทยเป็นประเทศแห่งกีฬา เน้นวิทยาศาสตร์การกีฬา เน้นให้เยาวชนมีน้ำใจนักกีฬาตั้งแต่เด็ก ซึ่งจะต่อยอดไปถึงวัยผู้ใหญ่ ปรับปรุงกฎหมายกีฬาให้เกิดความเป็นธรรม

คนนอกต่อมา “ดร.พิสัณห์ นุ่นเกลี้ยง” ที่ปรึกษากระทรวงสาธารณสุข ซึ่งดูจากตำแหน่งแล้วค่อนข้างห่างไกลวงการกีฬา แต่นักวิชาการจากค่ายนิด้ารายนี้เคยผ่านงานในวงการกีฬามาแล้ว โดยเฉพาะวงการกีฬาอาชีพที่เขาเป็นผู้รับทำตำรางานวิจัย เรื่องมาตรฐานกีฬาอาชีพที่ กกท. ดำเนินการ ทำให้กลายเป็นอีกหนึ่งแคนดิเดตที่พร้อมแย่งชิงเก้าอี้ตัวนี้

ดร.พิสัณห์กล่าวว่า ได้มีส่วนร่วมวางยุทธศาสตร์สำคัญมากมาย โดยเฉพาะยุทธศาสตร์ของสมาคมกีฬาแห่งประเทศไทย ซึ่งจะนำความรู้ยุทธศาสตร์เหล่านั้นมาทำให้เป็นรูปธรรม ให้โอกาสทุกคนที่อยากเล่นกีฬา นักกีฬา บุคลากรกีฬา ได้แสดงความสามารถให้เติบโตอย่างยั่งยืน เน้นสร้างความสุขด้วยกีฬา

ลดความเหลื่อมล้ำ โดยไม่ควรเน้นด้านธุรการมากเกินไป

 

ส่วน 3 คนสุดท้าย ประกอบด้วย “สุปราณี คุปตาสา” สตรีหนึ่งเดียวจากผู้สมัคร 9 คน ซึ่งเคยเป็นกงล้อหมุนงานร่วมกับสมาคมกีฬาฟุตบอลฯ ก่อนเข้ามาเป็นคณะกรรมการกองทุนพัฒนากีฬาอาชีพ, “นิวัฒน์ ลิ้มสุขนิรันดร์” รองอธิบดีกรมพลศึกษา และเลขาฯ สมาคมกีฬายกน้ำหนักฯ

ส่วนคนสุดท้าย “อธิปรัฐ กาญจนสุวรรณ” อดีตนายกสมาคมกีฬายิงปืนฯ

น.ส.สุปราณีกล่าวว่า มีความเชี่ยวชาญด้านบัญชี และเป็นที่ปรึกษาด้านกีฬาหลายส่วน จะนำความรู้รอบด้านนี้มาประยุกต์ใช้ ทำทุกอย่างที่จับต้องได้ ทำลายอีโก้ และการเกี่ยงความรับผิดชอบในองค์กรให้ทุกภาคส่วนทำงานกันอย่างสอดคล้องกันมากขึ้น ไม่ใช้กฎหมายไปในทางที่ผิด รวมทั้งนำกีฬาไปสร้างมูลค่าให้ระบบเศรษฐกิจของประเทศ

ขณะที่นิวัฒน์เป็นคนที่มีความใกล้ชิดกับ “เสธ.ยอด” “พล.ต.อินทรัตน์ ยอดบางเตย” คีย์แมนวงการกีฬาไทยที่มีทั้งตำแหน่งรองประธานคณะกรรมการโอลิมปิคแห่งประเทศไทยฯ, ประธานสหพันธ์สมาคมกีฬาชาติ และนายกกิตติมศักดิ์สมาคมกีฬายกน้ำหนัก ซึ่งส่งตัวแทนร่วมชิงกุมบังเหียนค่ายหัวหมาก หลังไม่ค่อยลงรอยกันมายาวนาน

ด้านนายอธิปรัฐ แสดงวิสัยทัศน์เน้นนโยบายสรรค์สร้างเพื่อสร้างสรรค์ ด้วยนวัตกรรมจัดการกีฬาและการบริหารการเงิน ถ้าได้รับเลือกบริหาร กกท. จะไม่ใช้งบฯ ภาครัฐ แต่จะหารายได้เอง ส่วนโครงการ 1 กีฬา 1 รัฐวิสาหกิจ จะเปลี่ยนเป็น 1 องค์กรเอกชน 1 สมาคมกีฬา อีกทั้งจะไม่ใช้กฎหมายข้อบังคับในทางที่ผิดเกินอำนาจ

และสนับสนุนการแข่งขันกีฬาทหารโลก

 

อย่างไรก็ตาม นโยบายวิสัยทัศน์ของผู้สมัครชิงตำแหน่งผู้ว่าการ กกท. ทั้งหมด 9 คน จะต้องผ่านการพิจารณาเห็นชอบจากคณะกรรมการสรรหาที่มี “พล.อ.วิชญ์ เทพหัสดิน ณ อยุธยา” เป็นประธาน

ซึ่งคณะดังกล่าวได้รับการแต่งตั้งจาก “พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ” รองนายกรัฐมนตรี และประธานคณะกรรมการโอลิมปิคแห่งประเทศไทยฯ ด้วย

นโยบายวิสัยทัศน์ของทั้ง 9 แคนดิเดต ต่างวาดฝันเอาไว้อย่างสวยหรูกับการพัฒนาวงการกีฬาไทยให้ก้าวเดินไปข้างหน้า แต่ต้องจับตามองกันห้ามกะพริบว่าจะถูกใจคณะกรรมการสรรหาของขาใหญ่เขาหรือไม่???

เพราะเก้าอี้ผู้ว่าการ กกท. ตัวนี้จะถูกสืบทอดให้เป็นส่วนสำคัญในการขับเคลื่อนพัฒนาวงการกีฬาไทยในอีก 4 ปีข้างหน้าต่อจากนี้…