เซอร์บ๊อบบี้ ชาร์ลตัน สิ้นตำนานสุภาพบุรุษลูกหนังเมืองผู้ดี

เบื้องหน้าสนามโอลด์แทรฟฟอร์ด รังเหย้าของ แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด หนึ่งในสโมสรฟุตบอลยอดนิยมระดับท็อปของโลก คือรูปหล่อทองสัมฤทธิ์ของ “ยูไนเต็ด ทรินิตี้ (United Trinity) สามตำนานแข้งปีศาจแดงผู้มีบทบาทสำคัญพาทีมคว้าแชมป์ ยูโรเปี้ยนคัพ ปี 1968 กลายเป็นทีมจากอังกฤษทีมแรกที่คว้าแชมป์ยุโรปได้สำเร็จ

“ยูไนเต็ด ทรินิตี้” ประกอบด้วย จอร์จ เบสต์ ปีกอัจฉริยะชาวไอร์แลนด์เหนือ, เดนิส ลอว์ กองหน้าชาวสก๊อต และ เซอร์บ๊อบบี้ ชาร์ลตัน กองกลางตัวรุกชาวอังกฤษซึ่งเพิ่งเสียชีวิตด้วยวัย 86 ปี เมื่อวันที่ 21 ตุลาคมที่ผ่านมา

เมื่อเทียบกับอีก 2 คนซึ่งจัดเป็น “โกลเด้นบอย” ของทีมในยุคนั้น ชาร์ลตันมีแคแร็กเตอร์ที่เรียบง่ายกว่า แต่ตัวตนของเขาก็ถือเป็นสัญลักษณ์สำคัญของวงการลูกหนังเมืองผู้ดี

โดยเฉพาะอย่างยิ่งทีมแมนฯ ยูในยุคสมัยหนึ่งยืนยาวมาจนถึงปัจจุบัน

เซอร์บ๊อบบี้ ชาร์ลตัน และทีม ฉลองชัยชนะหลังคว้าแชมป์ FA Cup ปี 1963 5 ปีหลังจากเหตุการณ์โศกนาฎกรรมมิวนิค

ย้อนไปในเดือนกุมภาพันธ์ปี 1958 ชาร์ลตันในวัย 20 ปี เป็นหนึ่งในผู้รอดชีวิตจากโศกนาฏกรรมเครื่องบินตกที่เมืองมิวนิกซึ่งคร่าชีวิตนักเตะและสตาฟฟ์โค้ชแมนฯ ยู รวมถึงผู้สื่อข่าว และผู้โดยสารกับลูกเรือ รวมทั้งสิ้น 23 ราย

เขารักษาตัวจนกลับมาลงสนามได้อีกครั้ง และเป็นหนึ่งในกำลังสำคัญของ บัสบี้ เบ๊บส์ ภายใต้การคุมทีมของกุนซือ เซอร์แม็ตต์ บัสบี้ ที่นำยูไนเต็ดสู่ความยิ่งใหญ่

แมนฯ ยูผ่านเข้าถึงรอบชิงชนะเลิศเอฟเอคัพปี 1958 ท่ามกลางกำลังใจท่วมท้นจากคนแทบทั้งประเทศ ก่อนจะแพ้ให้โบลตันอย่างน่าเสียดาย แต่ก็กลับมาประสบความสำเร็จคว้าแชมป์ถ้วยนี้ในปี 1963 ด้วยชัยชนะเหนือเลสเตอร์ ซิตี้

หลังจากนั้น แมนฯ ยูประสบความสำเร็จคว้าแชมป์ลีกสูงสุด 2 ครั้งใน 3 ปี ในปี 1965 และ 1967 ก่อนจะก้าวไปเป็นแชมป์ยุโรปทีมแรกของอังกฤษในปี 1968

ระหว่างนั้น ชาร์ลตันยังมีส่วนสำคัญช่วยทีมชาติอังกฤษคว้าแชมป์ฟุตบอลโลกหนแรกและหนเดียวในประวัติศาสตร์ทีมในปี 1966 อีกด้วย โดยเป็นคนทำ 2 ประตูสำคัญให้ทีมชนะโปรตุเกส 2-1 ในรอบรองชนะเลิศ ก่อนที่เขาจะคว้ารางวัล บัลลงดอร์ (ซึ่งเวลานั้นยังเป็นรางวัลนักเตะยอดเยี่ยมของยุโรป) ในปีเดียวกัน

ชาร์ลตันเล่นในตำแหน่งกองกลางตัวรุกและปีก โดดเด่นที่การผ่านบอลอันยอดเยี่ยม และสัญชาตญาณการเล่นเกมบุก

โดยเดนิส ลอว์ ตำนานปีศาจแดงซึ่งเล่นเคียงข้างชาร์ลตันระหว่างปี 1962-1973 บอกว่า อดีตเพื่อนร่วมทีมผู้ล่วงลับมีสายตาอ่านเกมอันโดดเด่น เขารู้ว่าใครอยู่ตรงไหนในสนาม เมื่อใดที่เขาได้บอล ก็มั่นใจได้ว่าเขาจะหาตนเจอเสมอ

ขณะที่ทักษะการยิงประตูของเขาก็ยอดเยี่ยมไม่แพ้กัน ชาร์ลตันหวดบอลได้หนักมากชนิดที่เรียกว่าผู้รักษาประตูส่วนใหญ่มักจะหยุดลูกยิงของเขาไม่อยู่

เซอร์บ๊อบบี้ ชาร์ลตัน กับผู้จัดการทีมเซอร์แม็ตต์ บัสบี้ และโค้ช จิมมี่ เมอร์ฟี่ เถลิงแชมป์ยุโรปในปี 1968

ความยอดเยี่ยมของชาร์ลตันยืนยันได้จากสถิติต่างๆ ตลอดชีวิตการค้าแข้งของเขา โดยเขาลงสนามให้แมนฯ ยู 758 นัด เป็นสถิติสูงสุดของทีมในเวลานั้น กระทั่ง ไรอัน กิ๊กส ตำนานรุ่นหลังทำลายสถิตินั้นลงด้วยการลงสนาม 963 นัด ตลอดการค้าแข้ง 23 ปี

นอกจากนี้ ชาร์ลตันยังเคยเป็นเจ้าของสถิติยิงประตูสูงสุดตลอดกาลของสโมสร รวม 249 ประตู ก่อนที่ เวย์น รูนีย์ จะทำลายสถิตินั้นลงในอีก 44 ปีต่อมา ซึ่งการค้าแข้งกับปีศาจแดงนาน 17 ปีของชาร์ลตันนั้น แม้ว่าในเวลาต่อมาเขาจะไปเล่นให้กับทีมรองและทีมเล็กอื่นๆ ในเวลาต่อมา แต่ในมุมมองของแฟนบอลรุ่นเก่าก็มองว่าเขาเป็นนักเตะประเภท “one-club man” หรือเล่นให้ทีมเดียวตลอดชีวิตอยู่ดี

ส่วนระดับทีมชาตินั้น ชาร์ลตันติดทีมชาติอังกฤษ 106 นัด สูงสุดเป็นอันดับ 7 และยิงไปทั้งหมด 49 ประตู เป็นสถิติสูงสุดของแข้งสิงโตคำรามนานเกือบครึ่งศตวรรษ ก่อนจะโดนรูนีย์ทำลายในปี 2015

เซอร์บ๊อบบี้ ชาร์ลตัน ในสีเสื้อแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ในช่วงกลางยุค 1950s ภายใต้การคุมทีมของกุนซือเซอร์แม็ตต์ บัสบี้

ทั้งสถิติจำนวนนัดและจำนวนประตูที่ชาร์ลตันทำได้ตลอดชีวิตการค้าแข้งนั้น ยืนยันถึงทักษะความสามารถส่วนบุคคลที่ทำให้เขาได้รับการยกย่องว่าเป็นหนึ่งในนักเตะที่ยิ่งใหญ่ที่สุดของอังกฤษและของโลกได้เป็นอย่างดี

อย่างไรก็ตาม ยังมีอีกหนึ่งสถิติส่วนบุคคลเล็กๆ ที่หลายคนไม่รู้ นั่นคือ จากวันแรกที่เขาเริ่มค้าแข้งก่อนวันเกิดอายุครบ 19 ปีไม่กี่วัน จนถึงปี 1976 ที่เขาแขวนสตั๊ด เซอร์บ๊อบบี้ ชาร์ลตัน ไม่เคยโดนใบแดงไล่ออกจากสนามแม้แต่ครั้งเดียว อีกทั้งยังโดนใบเหลืองเพียง 2 ครั้งเท่านั้น นั่นคือเกมฟุตบอลโลก 1966 รอบก่อนรองชนะเลิศกับอาร์เจนตินา และเกมลีกนัดหนึ่งกับเชลซี

เป็นหนึ่งในคุณสมบัติที่ทำให้เขาได้รับการจดจำในฐานะ “สุภาพบุรุษลูกหนัง” ตราบนานเท่านาน •

 

Technical Time-Out | SearchSri