‘มาดามแป้ง’ VS ‘พอลลีน’ ศึกชิงเก้าอี้นายกลูกหนังไทย

เริ่มส่งสัญญาณถึงความร้อนแรงขึ้นเรื่อยๆ สำหรับการเลือกตั้งนายกสมาคมกีฬาฟุตบอลแห่งประเทศไทยฯ คนใหม่ ภายหลังจากที่ “บิ๊กอ๊อด” พล.ต.อ.สมยศ พุ่มพันธุ์ม่วง นายกสมาคมคนปัจจุบันจะหมดวาระลงในเดือนกุมภาพันธ์ 2567 และตามระเบียบข้อบังคับจะต้องมีการเลือกตั้งใหม่ภายในระยะเวลา 90 วัน

ทำให้ไทม์ไลน์จะอยู่ที่ไม่เกินเดือนพฤษภาคมปีหน้า…

ก่อนหน้านี้มีผู้เปิดหน้าลงชิงตำแหน่งนายกสมาคมกีฬาฟุตบอลฯ กันอย่างอึกทึกครึกโครม ไม่ว่าจะเป็น “เดอะตุ๊ก” ปิยะพงษ์ ผิวอ่อน อดีตกองหน้าตำนานทีมชาติไทย รวมทั้ง “บังยี” วรวีร์ มะกูดี อดีตนายกสมาคมกีฬาฟุตบอลแห่งประเทศไทยฯ หลายสมัยที่ประกาศตัวลงชิงเก้าอี้ตัวเดิมของตัวเอง แต่ยังติดระเบียบกำหนดข้อบังคับเรื่องอายุเกิน

ขณะที่ “มาดามแป้ง” นวลพรรณ ล่ำซำ ผู้จัดการทีมชาติไทย และประธานสโมสร “สิงห์เจ้าท่า” การท่าเรือ เอฟซี ตอนแรกได้ปฏิเสธการลงชิงตำแหน่งแล้ว เพราะครอบครัวเป็นห่วงเรื่องสุขภาพร่างกาย

แต่เมื่อมาดามกลับไปนอนคิดไปคิดมา ก็เริ่มเปลี่ยนใจกลับมาลงชิงเก้าอี้ประมุขลูกหนังไทยที่ตัวเธอเองคลุกคลีกมายาวนานกว่า 16 ปีเลยทีเดียว

 

การที่ “มาดามแป้ง” ลงชิงเก้าอี้นายกฟุตบอลไทยในครั้งนี้ ได้รับการสนับสนุนจาก 2 บิ๊กแห่งวงการลูกหนังไทย ทั้ง “ลุงเน” เนวิน ชิดชอบ ประธานสโมสร “ปราสาทสายฟ้า” บุรีรัมย์ ยูไนเต็ด และ “บอสปิ๊ป” ปวิณ ภิรมย์ภักดี ประธานสโมสร “เดอะ แรบบิท” บีจี ปทุม ยูไนเต็ด ทำให้กลายเป็นตัวเต็งนายกบอลไทยคนใหม่ไปโดยปริยาย

ขณะเดียวกัน “มาดามแป้ง” ก็ยังได้ปรึกษากับ “บิ๊กอ๊อด” ถึงการตัดสินใจครั้งนี้ ซึ่งไม่ใช่การยึดอำนาจแต่อย่างใด โดยทางอดีต ผบ.ตร.ได้ยืนยันว่าอยากวางมือ เพราะอายุมากแล้ว อยากสนับสนุนคนรุ่นใหม่ และพร้อมให้การสนับสนุนมาดามแป้งลงชิงตำแหน่งนายกสมาคมอย่างเต็มตัว เพื่อสานต่อการพัฒนาวงการฟุตบอลไทยให้ก้าวหน้ากว่าเดิม

แม้มาดามแป้งยังไม่ได้ประกาศนโยบายในการชิงตำแหน่งครั้งนี้ออกมาอย่างชัดเจน แต่ด้วยความมุ่งมั่นตั้งใจในวงการฟุตบอลไทยตลอด 16 ปีที่ผ่านมา เชื่อว่าจะตอบคำถามแฟนบอลไทยไปได้บ้างแล้ว โดยมาดามแป้งไม่ได้กังวลเรื่องคู่แข่งที่จะลงชิงเก้าอี้ด้วย เนื่องจากมองว่า การมีคู่แข่ง เป็นเรื่องปกติอยู่แล้ว จะทำหน้าที่ตัวเองให้ดีที่สุด และพร้อมทำงานร่วมกับทุกคน

ภายหลังจากการประกาศตัวของมาดามแป้ง ทำให้ “เดอะตุ๊ก” ประกาศถอนตัวจากการชิงเก้าอี้ทันที เพื่อเปิดทางให้ โดยระบุว่า จากประสบการณ์ที่อยู่ในวงการฟุตบอลไทยมา 16 ปี เชื่อว่ามาดามแป้งเป็นคนที่มีความพร้อม และคุณสมบัติเหมาะสมที่สุดที่จะเข้ามาเป็นผู้นำของวงการได้

ด้านบังยีก็ติดเรื่องคุณสมบัติตรงที่อายุเกิน 70 ปีแล้ว

 

อย่างไรก็ตาม ยังมีอีกหนึ่งคนที่ได้ออกมาประกาศตัวชิงตำแหน่งนายกบอลไทยในครั้งนี้ด้วยคือ พอลลีน งามพริ้ง หรือชื่อเดิม พินิจ งามพริ้ง อดีตแกนนำกลุ่มเชียร์ไทยเพาเวอร์ ที่เรียกตัวเองว่า “มาดามป้อ” ตั้งทีมงานคุณภาพศึกษาความเป็นไปได้ในการลงชิงตำแหน่ง พร้อมประกาศนโยบาย 7 ข้อภายใต้แนวความคิด Football Transformation ประกอบด้วย

1. ปราศจากผลประโยชน์ทับซ้อนทุกประการ มีความรัก และความรู้ฟุตบอลในทุกมิติ

2. เพิ่มรายได้ จัดหา และดูแลผลประโยชน์ และการตัดสินให้กับทุกสโมสรอย่างเท่าเทียม ไม่มีขั้วอำนาจ

3. มีความคิดสร้างสรรค์ ขยายตลาด กลุ่มผู้ชม และผู้สนับสนุนฟุตบอลให้กว้างขวางกว่าเดิม

4. ฟุตบอล 360 องศา สร้างสรรค์เกมฟุตบอลให้ตื่นตาตื่นใจ และมีผลสำเร็จด้านความเป็นเลิศ

5. ร่วมมือรัฐบาลพัฒนาเยาวชน ผ่านกลไกสโมสร เพิ่มจำนวนนักฟุตบอลเยาวชน สู่อาชีพให้มากกว่าที่เป็นอยู่

6. ช่วยสโมสรพัฒนาช่องทางสื่อสารการตลาดแบบออนไลน์

และสุดท้าย 7. พัฒนาสนาม และสาธารณูปการที่เกี่ยวกับฟุตบอลให้ได้มาตรฐาน พร้อมใช้อยู่ตลอดเวลา และขอสิทธิประโยชน์ส่งเสริมจากภาครัฐ

 

พอลลีนระบุว่า ทนมานานกับพวกที่ปู้ยี่ปู้ยำกับฟุตบอลไทย ซึ่งได้ศึกษาความเป็นไปได้ในการลงสมัคร โดยมีเป้าหมายคือ หาเงินให้สโมสรสมาชิก ไม่มีผลประโยชน์ทับซ้อน เปิดตลาดใหม่ๆ และผลงานฟุตบอลไทยแถวหน้าของเอเชีย ซึ่งตั้งทีมงานคุณภาพเริ่มทำงานศึกษารายละเอียด ใช้ความรู้ และประสบการณ์ที่หลากหลายให้เกิดประโยชน์กับส่วนรวม

นอกจากนี้ พอลลีนโชว์วิสัยทัศน์ในสิ่งที่เมืองไทยยังขาด คือ การต่อสู้ในเชิง “ความคิดนิยม” หรือ “อุดมการณ์นิยม” ซึ่งจะเกิดผลในระยะยาวแบบยั่งยืน คนส่วนใหญ่มักให้ความสำคัญกับ “ทุนนิยม” ที่จะเกิดการแก้ปัญหาเฉพาะหน้า และระยะสั้นเท่านั้น รวมทั้งในวงการฟุตบอลไทยเช่นเดียวกัน…

“แม้จะถูกปรามาส หรือดูถูกอย่างไร พอลลีนจะยังคงเดินหน้าต่อ เพื่อเสนอแนวความคิดให้สโมสรเรียนรู้วิธีจับปลาขยายฐานแฟนบอลใหม่ และเกิด Sustainability ให้กับวงการอย่างยั่งยืน” พอลลีนระบุ

สำหรับสถานการณ์ ณ ตอนนี้ในการชิงตำแหน่งนายกสมาคมกีฬาฟุตบอลไทยในตอนนี้จะเหลือเพียง “มาดามแป้ง” นวลพรรณ ล่ำซำ และ “มาดามป้อ” พอลลีน งามพริ้ง เพียงแค่ 2 คนเท่านั้นที่จะเป็นแคนดิเดตขับเคี่ยวแย่งชิงเก้าอี้นายใหญ่แห่งลูกหนังไทย โดยยังไม่มีตัวละครใหม่ออกมา แต่ท้ายที่สุดแล้วอำนาจในการตัดสินทั้งหมดจะอยู่ที่สโมสรสมาชิก…

ต้องจับตามองกันอย่างใกล้ชิดแม้ยังเหลือเวลาอีกหลายเดือนกว่าจะถึงการเลือกตั้งนายกสมาคมฟุตบอลไทยคนใหม่ และในครั้งนี้ก็มีความสำคัญเป็นอย่างมากต่อวงการ เพราะต้องยอมรับว่าช่วงหลายปีที่ผ่านมาวงการฟุตบอลไทยถอยหลังกลับไปสู่ยุคตกต่ำ ทั้งผลงานทีมชาติ และฟุตบอลลีกที่มีมูลค่าลดลงอย่างน่าใจหาย

ท้ายที่สุดนี้หวังเพียงว่า นายกลูกหนังไทยคนใหม่ไม่ว่าจะเป็นใครก็ตาม จะต้องเป็นผู้กอบกู้วิกฤตฟุตบอลไทยให้กลับคืนมาโดยเร็วที่สุด เพื่อสานความฝันพาทีมชาติไทยไปฟุตบอลโลก รอบสุดท้าย 48 ทีม ซึ่งประตูเปิดกว้างยิ่งขึ้นแล้ว จากการที่เอเชียได้โควต้าเพิ่มเป็น 8.5 ทีมแล้ว… •

 

เขย่าสนาม | เมอร์คิวรี่

[email protected]