ผ่าแผนเตรียมทัพช้างศึกซีเกมส์ ภารกิจทวงบัลลังก์แชมป์รอบ 6 ปี

"โค้ชหระ" อิสระ ศรีทะโร

“ช้างศึกหนุ่ม” ทีมฟุตบอลทีมชาติไทย ห่างหายจากการเป็นแชมป์กีฬาซีเกมส์มายาวนานถึง 6 ปีแล้ว นับตั้งแต่การคว้าแชมป์ครั้งล่าสุดในกีฬาซีเกมส์ ครั้งที่ 29 ที่กรุงกัวลาลัมเปอร์ ประเทศมาเลเซีย เมื่อปี 2017

ในซีเกมส์ 2017 ทีมฟุตบอลไทยคุมทัพโดย “โค้ชโย่ง” วรวุธ ศรีมะฆะ ทำผลงานคุมทีมทั้งหมด 7 นัด ชนะ 6 นัด เสมอ 1 นัด พร้อมกับชนะเจ้าภาพ มาเลเซีย 1-0 ในรอบชิงชนะเลิศ ครองแชมป์ซีเกมส์ สมัยที่ 16

หลังจากนั้นในซีเกมส์ ครั้งที่ 30 ที่กรุงมะนิลา ประเทศฟิลิปปินส์ เมื่อปี 2019 ทีมไทยใช้ นิชิโนะ อากิระ กุนซือชาวญี่ปุ่นทำหน้าที่ควบคุมทีมชาติไทย ทั้งชุดใหญ่ และชุดซีเกมส์ รุ่นไม่เกิน 23 ปี แต่ผลงานตกรอบแรกแบบน่าอาย

ถัดมาในซีเกมส์ ครั้งที่ 31 ที่กรุงฮานอย ประเทศเวียดนาม เมื่อปี 2021 ทีมไทยภายใต้การทำหน้าที่ผู้จัดการทีมของ “มาดามแป้ง” นวลพรรณ ล่ำซำ มอบหมายให้ มาโน่ โพลกิ้ง ควบดูแลทั้งทีมชุดใหญ่ และทีมชุดซีเกมส์ แต่ก็ทำได้ดีที่สุดแค่รองแชมป์

ขณะเดียวกัน “ดาวทอง” ทีมชาติเวียดนาม ทะยานขึ้นมาครองเจ้าอาเซียนในฟุตบอลซีเกมส์ ทั้งซีเกมส์ 2019 และซีเกมส์ 2021 ซึ่งสามารถเอาชนะทีมชาติไทย พร้อมประกาศศักดาคว้าแชมป์ในบ้านของตัวเอง นับเป็นสมัยที่ 2 ติดต่อกันด้วย

อย่างไรก็ตาม ถือเป็นภารกิจสำคัญของทีมชาติไทย กับการไล่ล่าแชมป์ฟุตบอลซีเกมส์ ครั้งที่ 32 ที่กรุงพนมเปญ ประเทศกัมพูชา ช่วงวันที่ 5-17 พฤษภาคมนี้ ซึ่งถือเป็นงานหนักอยู่พอสมควร เพราะแม้จะมีการเตรียมทีมมายาวนาน แต่ระหว่างทางต้องเจอปัญหาอุปสรรคหลายอย่าง

 

ทีมชาติไทยชุดซีเกมส์ 2023 คุมทัพโดย “โค้ชหระ” อิสระ ศรีทะโร กุนซือหนุ่มวัย 43 ปี ซึ่งเป็นโค้ชไทยรุ่นแรกๆ ที่จบหลักสูตรโปรไลเซนส์ เปิดอบรมในไทย เข้ามารับงานคุมทีมตั้งแต่ปี 2022 พร้อมภารกิจทัวนาเมนต์ปี 2023 และการล่าแชมป์ซีเกมส์ครั้งนี้

“โค้ชหระ” มีประสบการณ์คุมทีมระดับสโมสร ทั้งชัยนาท ฮอร์นบิล, อาร์มี่ ยูไนเต็ด และพีที ประจวบ เอฟซี อีกทั้งยังเคยร่วมงานเป็นผู้ช่วยโค้ชของอากิระ นิชิโนะ ในทีมชาติไทยชุดใหญ่ และเคยเป็นเฮดโค้ชทีมเยาวชน รุ่นไม่เกิน 19 ปี ก่อนเป็นเฮดโค้ชทีมชาติไทย รุ่นไม่เกิน 23 ปี

สำหรับการเตรียมทีมชาติไทย “โค้ชหระ” ได้ดำเนินการมาอย่างต่อเนื่อง และมีการเรียกเก็บตัว รวมทั้งลงเตะอุ่นเครื่องรายการสำคัญ แต่ในช่วงโค้งสุดท้ายของการเตรียมทีมกลับต้องเจอปัญหาในการประสานขอตัวนักเตะมาเล่นในศึกกีฬาซีเกมส์ 2023

โดยเฉพาะนักเตะกำลังสำคัญอย่าง “แบงค์” ศุภณัฏฐ์ เหมือนตา วันเดอร์คิดจากบุรีรัมย์ ยูไนเต็ด ที่สโมสรต้องการจะส่งตัวไปค้าแข้งในทวีปยุโรป หลังมีข่าวเซ็นสัญญากับเลสเตอร์ ซิตี้ ทีมอังกฤษ แต่จะไปอยู่กับโอเอช ลูเวิน ในเบลเยียมก่อน

รวมถึง “ปัง” อิรฟาน ดอเลาะ ดาวรุ่งฝีเท้าดีจากบุรีรัมย์ ยูไนเต็ด ซึ่งเป็นกัปตันทีมชาติไทย รุ่นไม่เกิน 23 ปีด้วย แต่กลับได้รับบาดเจ็บ ต้องพักรักษาตัว ส่งผลให้ไม่สามารถไปรับใช้ทีมชาติไทยล่าแชมป์ซีเกมส์ในถิ่นกัมพูชาได้

 

ขณะเดียวกัน “โค้ชหระ” พยายามวิ่งขาขวิดเจรจากับสโมสร เพื่อหานักเตะที่ลงตัว แต่ก็ยังมีนักเตะแกนหลักชุดซีเกมส์จากชลบุรี เอฟซี 3 รายที่พร้อมปล่อยตัวช่วยทีมชาติ ไม่ว่าจะเป็น “กีต้าร์” ทรงชัย ทองฉ่ำ, “นาย” ฉัตรมงคล เรืองฐณโรจน์ และ “หนึ่ง” ชาญณรงค์ พรมศรีแก้ว

รวมถึงสมุทรปราการ ซิตี้ ทีมไทยลีก 2 ก็พร้อมปล่อยตัวนักเตะในข่าย 3 คน ประกอบด้วย พงศกร ตรีสาตร์, ยศกร บูรพา, พันธมิตร ประพันธ์ พร้อมจะปล่อยให้หมด แม้ไทยลีก 2 จะปิดฤดูกาลปกติ วันที่ 30 เมษายน

“บิ๊กหยิม” ยุทธนา หยิมการุณ อุปนายกสมาคมกีฬาฟุตบอลแห่งประเทศไทยฯ ในฐานะผู้อำนวยการทีมชาติไทย ยู 23 ยืนยันว่า ได้ส่งหนังสือขอตัวไปยังสโมสรต่างๆ ซึ่งต้องขอบคุณทุกสโมสรที่ปล่อยตัวนักกีฬามารับใช้ชาติในครั้งนี้ หลังจากได้รับคำตอบจากสโมสร ทีมงานสตาฟฟ์โค้ชจะพิจารณา เพื่อให้ทีมชาติไทยพร้อมที่สุดก่อนเข้าร่วมการแข่งขันกีฬาซีเกมส์ที่กัมพูชา

ด้าน “โค้ชหระ” อิสระ ศรีทะโร ระบุว่า หวังจะได้นักเตะชุดที่ดีที่สุด แต่ด้วยโปรแกรมที่ไม่ได้ตรงกับช่วงฟีฟ่า เดย์ ก็เข้าใจทุกสโมสรเช่นกัน เราต้องให้เกียรตินักกีฬาด้วย ไม่ใช่ว่าเราจะเลือกใครมาก็ได้ แต่เราต้องการคนที่พร้อมที่สุด คนที่ดีจริงๆ ไม่ได้ตัวเลือกที่ 1 ก็เป็น 2 และ 3 ถ้าหากเราไม่ได้ 1 เราก็ต้องพยายามพัฒนาตัวเลือกที่ 2 และ 3 เพื่อให้เขาก้าวขึ้นมาเทียบชั้นตัวเลือกที่ 1 เพื่อแย่งชิงตำแหน่งตัวจริงในทีม

“เพราะนอกจากผลการแข่งขันที่หลายคนต้องการแล้ว อีกสิ่งสำคัญคือการพัฒนาขุมกำลังนักเตะให้พร้อม หากเราพัฒนาคนเดียว มันจะไปได้เร็วกว่าก็จริง แต่หากเราพัฒนาไปทั้งหมด มันจะทำให้ทีมของเราไปได้ไกลกว่า” โค้ชหระกล่าว

 

สําหรับทีมไทยชุดซีเกมส์นั้นได้วางแผนฝึกซ้อม โดยจะแบ่งคิวในการเรียกนักเตะเป็น 2 ชุดด้วยกัน ชุดแรกในวันที่ 20 เมษายน ส่วนอีกชุดหนึ่งที่จะมากันแบบฟูลทีมคือวันที่ 24 เมษายน ก่อนเดินทางไปยังกัมพูชา ในวันที่ 27 เมษายน

โปรแกรมนัดแรก พบสิงคโปร์ วันที่ 30 เมษายน เวลา 16.00 น., นัดสอง พบมาเลเซีย วันที่ 6 พฤษภาคม เวลา 16.00 น., นัดสาม พบลาว วันที่ 8 พฤษภาคม เวลา 16.00 น. และนัดสุดท้าย รอบแรก พบเวียดนาม วันที่ 11 พฤษภาคม เวลา 19.00 น. ทุกนัดเตะที่ปรินซ์ สเตเดี้ยม ส่วนรอบรองและรอบชิง เตะที่สนามกีฬาแห่งชาติ มรดกเตโช วันที่ 13 และ 16 พฤษภาคม

ถือเป็นภารกิจครั้งสำคัญของทีมชาติไทย ในการไล่ล่าแชมป์ซีเกมส์กลับคืนมาให้ได้ในรอบ 6 ปี ซึ่งแม้ตลอดเวลาที่ผ่านมาจะเจอปัญหาอุปสรรคบ้างระหว่างทาง แต่เชื่อว่า ด้วยความมุ่งมั่นของทีมงานสตาฟฟ์โค้ช รวมทั้งนักเตะทุกคนจะช่วยกันทำผลงานให้ดีที่สุด และก้าวไปสู่เจ้าลูกหนังซีเกมส์ สิ้นสุดการรอคอยอันยาวนานของแฟนบอลไทยสักที… •

 

 

เขย่าสนาม | เมอร์คิวรี่

[email protected]