นับถอยหลัง ฟุตบอลไทยคัมแบ๊กฟาดแข้ง / เขย่าสนาม : เด็กเก็บบอล

เขย่าสนาม

เด็กเก็บบอล

[email protected]

 

นับถอยหลัง

ฟุตบอลไทยคัมแบ๊กฟาดแข้ง

 

นับจากนี้ไปเหลือเวลาไม่ถึงสัปดาห์แล้วฟุตบอลลีกของประเทศไทยจะกลับมาฟาดแข้งในฤดูกาลใหม่กันแล้ว

เริ่มต้นจากวันที่ 6 สิงหาคมนี้ กับศึกแชมป์ชนแชมป์อย่าง “ไดกิ้น ไทยแลนด์ แชมเปี้ยนคัพ 2022” ซึ่งปีนี้จะเป็นการพบกันระหว่าง “ปราสาทสายฟ้า” บุรีรัมย์ ยูไนเต็ด เจ้าของทริปเปิลแชมป์จากฤดูกาลที่ผ่านมา จะพบกับ “เดอะ แรบบิท” บีจี ปทุม ยูไนเต็ด รองแชมป์ไทยลีกฤดูกาลที่ผ่านมา

ซึ่งต้องบอกว่าเป็นคู่ที่สมน้ำสมเนื้อ เพราะทั้งสองทีมถูกยกให้เป็นทีมเต็งที่จะเบียดแย่งแชมป์สำหรับฤดูกาลใหม่ที่จะมาถึงนี้เช่นกัน

จากนั้นฟุตบอลลีกจะเปิดฤดูกาลอย่างเป็นทางการ ในวันศุกร์ที่ 12 สิงหาคม พร้อมกันทั้งในส่วนของ “รีโว่ ไทยลีก” หรือไทยลีก 1 กับทางด้านของ “เอ็ม-150 แชมเปี้ยนชิพ” หรือไทยลีก 2 ที่จะบรรเลงเพลงแข้งพร้อมกัน แต่ว่าในส่วนของ ไทยลีก 3 จะเริ่มช้ากว่าลีกอื่นๆ คือออกสตาร์ตในช่วงสัปดาห์ที่ 2 ของเดือนกันยายนนู่นเลย

ขณะที่ฟุตบอลรีโว่ ไทยลีก จะปิดเลกแรกในวันที่ 27 พฤศจิกายน เพื่อเปิดทางให้กับมาโน่ โพลกิ้ง เฮดโค้ชทีมชาติไทย ในการเตรียมพร้อมป้องกันแชมป์ “เอเอฟเอฟ มิตซูบิชิ อิเล็คทริก คัพ 2022” ในช่วงปลายปีนี้ไปจนถึงต้นปีหน้า

 

สิ่งที่เปลี่ยนแปลงครั้งสำคัญเลยของฟุตบอลรีโว่ ไทยลีก 2022/2023 ในปีนี้ คือเรื่องของโควต้าต่างชาติ ซึ่งมีการปรับเปลี่ยนให้สอดคล้องกับสมาพันธ์ฟุตบอลแห่งเอเชีย (เอเอฟซี)

ที่เปลี่ยนไปก็คือนักฟุตบอลต่างชาติ ที่จากเดิมลงทะเบียนได้แค่ 3 คน แต่ในฤดูกาลนี้สามารถลงทะเบียนได้ถึง 5 คน อย่างไรก็ตาม ตอนเวลาส่งลงสนาม ยังคงสามารถส่งได้ 3 คนเช่นเดิม

อย่างไรก็ตาม ในส่วนของโควต้านักเตะเอเชีย ยังคงลงทะเบียนและส่งลงสนามได้ทีมละ 1 คน ขณะที่โควต้าอาเซียน สามารถลงทะเบียนได้ไม่จำกัดจำนวน แต่ว่าตอนส่งลงสนามได้แค่ 3 คนเท่านั้น

ซึ่งการเปลี่ยนแปลงครั้งนี้มีทั้งข้อดีและข้อเสีย โดยในข้อดีของมันคือแต่ละทีมสามารถเผื่อผู้เล่นต่างชาติเอาไว้ได้หากว่ามีอาการบาดเจ็บก็จะมีผู้เล่นต่างชาติสามารถทดแทนได้เช่นกัน และยังเพิ่มทางเลือกในการจัดทีมให้กับเฮดโค้ช เลือกผู้เล่นลงสนามในแต่ละเกมได้ตามสถานการณ์

อย่างไรก็ตาม มันมีข้อเสียเช่นกัน เพราะการที่มีนักเตะต่างชาติเพิ่มขึ้น เท่ากับโอกาสของผู้เล่นไทยจะลดลงไปโดยปริยาย ถ้าเป็นเมื่อก่อนผู้เล่นต่างชาติบาดเจ็บ แต่ละทีมไม่มีทางเลือกคือต้องใช้ผู้เล่นไทยลงสนามแทนตำแหน่งนั้นๆ แต่ตอนนี้ ยังมีผู้เล่นต่างชาติในสต๊อกอยู่ ที่สามารถนำมาลงสนามแทนได้ทันที

 

แม้ว่าฟุตบอลฤดูกาลใหม่กำลังจะเริ่มต้น แต่ที่ยังไม่เคลียร์ ก็คงจะเป็นเรื่องของโควต้า เอเอฟซี แชมเปี้ยนส์ลีก ที่ถึงทางสภากรรมการสมาคมกีฬาฟุตบอลแห่งประเทศไทยฯ จะไม่ขัดต่อมติของ 16 สโมสร ที่มีถึง 10 ทีมเลือกโหวตให้กับการแบ่งโควต้าออกเป็น 2 ฤดูกาล ทำให้ฤดูกาลที่จะมาถึง จะมีโควต้าถ้วยเอเชีย 2 ทีม คือ แชมป์ลีกได้ไปรอบแบ่งกลุ่ม และแชมป์เอฟเอ คัพ จะได้ไปรอบเพลย์ออฟ

แต่ว่า 2 ทีมที่เสียสิทธิอย่าง “แข้งเทพ” ทรู แบงค็อก ยูไนเต็ด และ “กิเลนผยอง” เมืองทอง ยูไนเต็ด ก็เตรียมเดินหน้าเอาเรื่องถึงที่สุดเพื่อรักษาสิทธิของตัวเอง ทำให้เรื่องนี้อาจจะยังมีคดีพลิกได้ ทำให้ฤดูกาล 2022/2023 อาจจะไม่มีโควต้าถ้วยเอเชียก็ยังมีโอกาสอยู่ ฉะนั้น คงต้องรอลุ้นกันไปก่อน

อย่างไรก็ตาม ถึงจะมีหรือไม่มีโควต้าถ้วยเอเชีย สิ่งหนึ่งที่มีอยู่ในทุกทีมคือเป้าหมายอยากจบอันดับดีที่สุดแน่นอนอยู่แล้ว

 

ส่วนเรื่องทีมเต็งแชมป์นั้น จะว่าไปฟุตบอลไทยลีกเองคงไม่ต่างจากพรีเมียร์ลีก อังกฤษ สักเท่าไหร่ เพราะส่องๆ ไปแล้วน่าจะมีม้าแค่ 2 ตัวที่จะเบียดลุ้นแชมป์กันได้อย่างสนุก ก็คือ บุรีรัมย์ กับบีจี ปทุม ที่ต้องบอกว่าทั้งสองทีมเองเสริมทัพได้อย่างน่ากลัวเสียด้วย

สำหรับบุรีรัมย์ ยูไนเต็ด ขุมกำลังปีนี้มีการเปลี่ยนแปลงเยอะ เพราะเสียตัวหลักอย่าง “เช็ค” สุภโชค สารชาติ ที่ย้ายไปอยู่กับ ฮอกไกโด คอนซาโดเล่ ซัปโปโร ในเจลีก นอกจากนี้ ยังเสีย 2 ตัวเก๋าอย่าง ปิยพล ผานิชกุล และ จักรพันธ์ แก้วพรม กองกลางจอมเก๋าคนสำคัญที่อำลาทีมไป

ทว่า ในการเสริมทัพต้องบอกว่าน่ากลัว โดยเฉพาะการยกเครื่องผู้เล่นต่างชาติ ได้ แฟรงก์ คาสตาเญดา แนวรุกที่เคยเล่นยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ลีก หรือ ลอนซาน่า ดุมบูย่า จากเซี่ยงไฮ้ เซินหัว ซึ่งเมื่อเอามารวมกับนักเตะเดิมๆ อย่าง “อุ้ม” ธีราทร บุญมาทัน, “อาร์ม” ศุภชัย ใจเด็ด หรือ “แบงค์” ศุภณัฏฐ์ เหมือนตา ก็ยังทำให้บุรีรัมย์แกร่งมากๆ อยู่

ส่วนทางด้านของบีจี ปทุม เองก็ต้องบอกว่าเสริมน่ากลัวสุดๆ เพราะพวกเขาได้ยอดนักเตะไทยอย่าง “เท่ห์” เจริญศักดิ์ วงษ์กรณ์ และ “เต้” พิธิวัตต์ สุขจิตธรรมกุล เข้ามาร่วมทีม ขณะที่ขุมกำลังเดิมยังมีอยู่อย่าง ดิโอโก้ หลุยส์ ซานโต, ธีรศิลป์ แดงดา, สารัช อยู่เย็น รวมถึง 2 พี่น้องฟานดี้

อีกทั้งยังเป็นฤดูกาลที่มาโกโตะ เทกุระโมริ จะได้คุมทีมเต็มๆ อีกด้วย ฉะนั้น น่าจะเบียดกับบุรีรัมย์สนุกแน่นอน

 

ขณะที่ทีมอื่นๆ เองก็พร้อมสร้างเซอร์ไพรส์ได้เช่นกัน อย่างเมืองทองกับชลบุรี ที่แนวทางคล้ายกันคือเน้นปั้นดาวรุ่งประสานกับต่างชาติช่วยแบกทีม

หรือ การท่าเรือ เอฟซี ที่ปีนี้ยกเครื่องใหม่โดยเฉพาะโควต้าต่างชาติ ที่แฟนบอลอยากให้เปลี่ยนมานานแล้ว

เช่นเดียวกับทรู แบงค็อก ยูไนเต็ด ที่ประมาทไม่ได้เด็ดขาดเช่นกัน

และที่น่าสนใจอีกข้อคือบรรดาทีมน้องใหม่ ทั้ง “ราชันโคขาว” ลำพูน วอร์ริเออร์, “ค้างคาวไฟ” สุโขทัย เอฟซี และ “รถม้ามรกต” ลำปาง เอฟซี ที่น่าดูฟอร์มของทั้ง 3 ทีมว่าจะมาเบียดพี่ๆ ในไทยลีก เอาตัวรอดอยู่ได้หรือไม่

ฉะนั้น ตอนนี้นับถอยหลัง ความมันของฟุตบอลไทย ใกล้กลับมาให้หายคิดถึงกันแล้ว •