เปิดปูม ‘มัตเตโอ เมสซินา เดนาโร’ เจ้าพ่อมาเฟียอิตาลี สิ้นอิสรภาพหลังหนีคดี 30 ปี

หลังจากพลิกฟ้าพลิกแผ่นดินตามล่าตัวมายาวนานถึง 30 ปี ในที่สุดตำรวจอิตาลีก็สามารถรวบตัว “มัตเตโอ เมสซินา เดนาโร” หัวหน้าแก๊งมาเฟีย “โคซา นอสตรา” แห่งซิซิลี อาชญากรเลื่องชื่อที่เป็นที่ต้องการตัวมากที่สุดของทางการอิตาลีไว้ได้ ซึ่งอยู่ใกล้เพียงแค่ปลายจมูก

โดยจับกุมตัวได้ที่โรงพยาบาลเอกชนแห่งหนึ่งในเมืองปาแลร์โม เมืองเอกของแคว้นซิซิลี ขณะเจ้าพ่อมาเฟียรายนี้ ซึ่งปัจจุบันอายุ 60 ปี ถูกพามารักษาตัวที่นี่อยู่เป็นระยะด้วยอาการป่วยจากโรคมะเร็ง หลังจากที่เจ้าหน้าที่ติดตามแกะรอยมาได้ระยะหนึ่ง

ข่าวการจับกุมเมสซินา เดนาโร ถึงขั้นทำให้จอร์เจีย เมโลนี นายกรัฐมนตรีหญิงของอิตาลี ลงทุนบินตรงมายังซิซิลีด้วยตัวเอง

นั่นเน้นย้ำให้เห็นว่าการจับกุมเจ้าพ่อมาเฟียผู้นี้ไว้ได้นั้นมีความสำคัญมากเพียงไร

โดยเมโลนีกล่าวย้ำถึงการจับกุมเมสซินา เดนาโร ได้ว่า อิตาลียังไม่ชนะสงคราม ยังไม่ชนะมาเฟีย แต่การต่อสู้ครั้งนี้เป็นการต่อสู้ที่สำคัญเพื่อที่จะชนะและทำลายแก๊งอาชญากร

(Photo by Handout / ITALIAN CARABINIERI PRESS OFFICE / AFP)

เมสซินา เดนาโร ผู้มีฉายาว่า “เดียโบลิก” ซึ่งเป็นชื่อของหัวขโมยที่ไม่เคยถูกจับได้ในการ์ตูนชุดดังของอิตาลี

เขาเกิดในปี 1962 เป็นลูกชายของหนึ่งในแก๊งมาเฟียแห่งเมืองกาสเตลเวตราโน ในแคว้นซิซิลี

เขาเลือกเดินตามรอยพ่อเข้าสู่แก๊งมาเฟีย ที่พออายุได้ 15 ปีก็จับปืนแล้ว

ตำรวจเชื่อว่าเมสซินา เดนาโร เริ่มลงมือฆ่าเหยื่อรายแรกตอนอายุ 18 ก่อนที่จะสั่งสมอิทธิพลบารมีเพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ จนผงาดขึ้นเป็นหัวหน้ามาเฟียรุ่นใหม่แห่งโคซา นอสตราผู้น่าเกรงขามได้

ตำรวจอิตาลีเชื่อว่า เมสซินา เดนาโร เป็นจอมบงการในคดีฆาตกรรมที่เกี่ยวพันกับแก๊งมาเฟียหลายสิบคดี

เขาถูกศาลตัดสินโทษจำคุกตลอดชีวิตหลายคดีในการพิพากษาโทษลับหลังจำเลย

หนึ่งในคดีที่ถูกกล่าวขวัญมากที่สุดคดีหนึ่งคือ คดีฆาตกรรมโจวานนี ฟัลโคเน และเปาโล บอร์เซลลิโน สองอัยการผู้ต่อต้านเหล่ามาเฟียในปี 1992 ซึ่งเป็นคดีช็อกประเทศและจุดชนวนให้เกิดกวาดล้างแก๊งมาเฟียในอิตาลีอย่างหนัก

จนนำไปสู่การจับกุม “ซัลวาตอเร โตโต้ รีนา” หัวหน้าใหญ่แห่งแก๊งคอร์เลโอเนซี ในแคว้นซิซิลี ที่มีสายสัมพันธ์เหนียวแน่นกับเมสซินา เดนาโร

คดีฆาตกรรมสองอัยการผู้ต่อต้านเหล่ามาเฟียนั้นเองที่ทำให้เขาหลบหนีการจับกุมไปนับแต่นั้นและลอยนวลอยู่ได้ถึง 30 ปี

ขณะที่ยังคงมีอีกหลายคดีที่เมสซินา เดนาโร มีส่วนเกี่ยวข้องอย่างสำคัญ ไม่ว่าจะเป็นเหตุระเบิดโจมตีในเมืองมิลาน ฟลอเรนซ์ และกรุงโรมช่วงปลายทศวรรษ 1990 ซึ่งทำให้มีผู้เสียชีวิตนับสิบราย

รวมถึงคดีลักพาตัวและฆาตกรรมจูเซ็ปเป้ ดิ มัตเตโอ เด็กชายวัยเพียง 11 ขวบอย่างเหี้ยมโหด ด้วยการฆ่ารัดคอแล้วราดด้วยน้ำกรดเพื่อทำลายซากร่าง หลังจากกักขังเหยื่อไว้นานถึง 2 ปี เพียงเพื่อต้องการบีบไม่ให้พ่อของเด็กชายผู้ตกเป็นเหยื่อรายนี้ นำพยานหลักฐานที่จะเอาผิดแก๊งมาเฟียมอบให้กับเจ้าหน้าที่ตำรวจ

 

เมสซินา เดนาโร จัดเป็นหัวหน้าแก๊งมาเฟียรสนิยมสูง มักใส่เสื้อผ้าแบรนด์เนมจากดีไซเนอร์ดัง ใช้แว่นกันแดดราคาแพง สวมนาฬิกาโรเล็กซ์ กินอาหารเลิศหรู และเป็นนักเล่นเกมตัวยง

แต่ที่เด่นชัดในตัวคือสัญชาตญาณความเป็นนักฆ่าอำมหิต ที่ครั้งหนึ่งเขาเคยกล่าวอวดอ้างว่าได้ฆ่าคนมามากพอที่จะฝังไว้เต็มสุสานได้

ในขณะที่ตลอด 30 ปีที่ผ่านมา ทางการอิตาลียังล้มเหลวที่จะนำตัวหัวหน้าแก๊งโคซา นอสตราผู้นี้มาสู่กระบวนการยุติธรรมได้

แต่หลายปีที่ผ่านมากองกำลังต่อต้านมาเฟียของอิตาลีก็ได้พยายามจัดการกวาดล้างเครือข่ายรอบตัวของเมสซินา เดนาโร รวมถึงการยึดทรัพย์สินของเพื่อนฝูง ญาติพี่น้องและบุคคลที่เกี่ยวข้องที่คอยสนับสนุนและช่วยเหลือในการกบดานซ่อนตัว จนนำไปสู่การจับกุมตัวผู้กระทำผิดหลายราย

รวมถึงน้องสาวของเมสซินา เดนาโร ที่ก็ร่วมอยู่ในแก๊งมาเฟียด้วย ซึ่งขณะนี้ต้องโทษจำคุก 14 ปี

 

ในส่วนชีวิตรักของเจ้าพ่อมาเฟียรายนี้ เรียกว่ามีผู้หญิงเข้ามาเกี่ยวข้องมากหน้าหลายตา หนึ่งในนั้นได้มีลูกสาวด้วยกันหนึ่งคน และหญิงที่มีสัมพันธ์ลึกซึ้งด้วยอีกรายเป็นพนักงานโรงแรมแห่งหนึ่งในออสเตรีย ที่เมสซินา เดนาโร พาไปเที่ยวด้วยกันไกลถึงประเทศกรีซ ทั้งๆ ที่เขามีรายชื่ออยู่ในหมายจับของยูโรโปล

ผู้เชี่ยวชาญอย่างแอนนา เซอร์กี ศาสตราจารย์ด้านอาชญาวิทยาแห่งมหาวิทยาลัยเอสเซกซ์ กล่าวถึงการจับกุมมาเฟียใหญ่รายนี้ที่ยังคงมีอิทธิพลอยู่ในอิตาลีว่า การล่องหนหลบหนีได้มาเป็นเวลาหลายปีของเมสซินา เดนาโร ถือเป็นสัญลักษณ์แห่งความล้มเหลวของอำนาจรัฐในอิตาลีที่ไม่สามารถเข้าถึงระดับบนของเครือข่ายอาชญากรรมได้

การจับกุมเขาได้จึงเป็นสัญญาณแห่งความหวังที่คาดไม่ถึงว่าจะมีวันนี้ที่รัฐจะสามารถกำจัดมาเฟียได้ แม้ในพื้นที่ที่อำนาจรัฐถูกมองว่าไร้ประสิทธิภาพ

เมสซินา เดนาโร ยังเป็นเจ้าพ่อมาเฟียคนสุดท้ายผู้เป็นตัวแทนของความลับทั้งหมดของแก๊งโคซา นอสตรา และนี่คือจุดจบของตำนานแห่งแก๊งอาชญากรนี้

อย่างไรก็ตาม แก๊งมาเฟียอย่างโคซา นอสตรายังสามารถหาตัวตายตัวแทนใหม่ได้ต่อไป ตราบใดที่อำนาจรัฐยังไม่แข็งแกร่งพอที่จะปราบปรามแก๊งอิทธิพลมืดเหล่านี้ให้สิ้นซาก