จากเดินเทใจให้เทพา ถึงเดินมิตรภาพ We Walk ที่ กทม.

ด้วยพระนามของอัลลอฮฺผู้ทรงเมตตาปรานีเสมอ มวลการสรรเสริญมอบแด่อัลลอฮฺผู้ทรงอภิบาลแห่งสากลโลก ขอความสันติสุขแด่ศาสนทูตมุฮัมมัด ผู้เจริญรอยตามท่านและสุขสวัสดีผู้อ่านทุกท่าน

ปลายเดือนพฤศจิกายน 2560 มีการเดินอย่างสันติของเครือข่ายคนสงขลา-ปัตตานี เพื่อยื่นหนังสือต่อนายกรัฐมนตรีว่าเหตุผลใดเขาเหล่านั้นไม่เอาโรงไฟฟ้าถ่านหินที่จะสร้างขึ้นที่อำเภอเทพา จังหวัดสงขลา

หรือเรียกอีกอย่างว่าเดินเทใจให้เทพา

จนทำให้เหตุการณ์บานปลายจนถึงขั้นสลายการชุมนุมต่อคนของเครือข่ายคนสงขลา-ปัตตานี ไม่เอาโรงไฟฟ้าถ่านหิน ท้ายสุด มีการดำเนินคดีอาญาทั้งสิ้น 17 ราย รวมทั้งแบมุส ผู้ที่โฆษก “ไก่อู” พล.ท.สรรเสริญ แก้วกำเนิด กล่าวหาเขาเสียๆ หายๆ โดยมีการแจ้งข้อหาความผิดในหลายฐาน เช่น ต่อสู้และขัดขวางการจับกุมและทำร้ายร่างกายเจ้าพนักงาน ร่วมกันเดิน หรือเดินแห่อันเป็นการกีดขวางทางจราจร

ทั้งที่การเดินเท้าจากพื้นที่ก่อสร้างโรงไฟฟ้าถ่านหินเทพา เพื่อสื่อสารต่อสาธารณะเป็นไปอย่างสันติถึงความไม่เป็นธรรมที่ชาวบ้านได้รับจากโครงการโรงไฟฟ้าถ่านหินเทพา

เพราะตลอดสามปีที่ผ่านมาชาวบ้านเทพาไปยื่นหนังสือที่กรุงเทพฯ หลายครั้ง ได้ส่งจดหมายไปยังส่วนราชการที่เกี่ยวข้องหรือแถลงการณ์มากว่า 100 ครั้ง แต่ไม่เคยได้พบนายกรัฐมนตรีหรือมีเสียงตอบรับใดๆ

ซึ่งครั้งนี้นายกรัฐมนตรีได้เดินทางมาในพื้นที่ ชาวบ้านจึงเดินเท้าไปถามว่า ถ้าสร้างโรงไฟฟ้าถ่านหินเทพา ชาวบ้านบางหลิงและใกล้เคียง 180 ครัวเรือน ร่วม 1,000 คน ต้องถูกบังคับโยกย้ายออกไป แล้วจะให้ชาวบ้านไปอยู่ที่ไหน

รวมทั้งผลกระทบและความไม่เป็นธรรมมากมายจากโครงการนี้

กล่าวโดยสรุป ปรากฏการณ์ครั้งนั้นทำให้ภาพ ครม.สัญจรในภาคใต้ครั้งนี้มีผลเสียมากว่าผลดี

ซึ่งโดยภาพรวมแล้วเป็นที่รู้กันว่าคนภาคใต้เคยออกมาเคลื่อนไหวล้มรัฐบาล ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร และ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ก็เป็นตาอยู่ออกมาปฏิวัติรัฐประหารยึดอำนาจและครองอำนาจมากกว่าสามปี เริ่มออกอาการซวนเซ จนกระทั่งคนอย่าง พล.อ.เปรม ติณสูลานนท์ ออกมาเตือน พล.อ.ประยุทธ์ และคณะ คสช. ว่ากองหนุนเริ่มถอยห่างแล้ว

สำหรับคนของเครือข่ายคนสงขลา-ปัตตานี ไม่เอาโรงไฟฟ้าถ่านหินและแนวร่วมตอนนี้กำลังถูกคุกคาม และถูกกล่าวหาสารพัดวิธี

จากการพูดคุยของผู้เขียนกับคนที่เคยให้ชาวบ้านที่เดินจากเทพาถึงสงขลาพักค้างคืนในบางมัสยิด ปรากฏว่าถูกข่มขู่ฐานให้ที่พักพิงแก่ผู้ต้องหาบ้าง เป็นผู้ร่วมสมคบคิดกับผู้ต้องหาบ้าง

รวมทั้งมีการเหมารวมแกนนำเคลื่อนไหวโดยจัดกลุ่มพวกเขาอยู่ในกลุ่มเดียวกับ BRN ซึ่งสามารถค้นหาได้ในสื่ออิเล็กทรอนิกส์ (โปรดดู https://pulony.blogspot.com/)

ทั้งที่เครือข่ายคนสงขลา-ปัตตานี ไม่เอาโรงไฟฟ้าถ่านหินรณรงค์ต่อสู้ทางสาธารณะด้วยสโลแกนที่ว่า การต่อสู้เพื่อปกป้องสิทธิชุมชนเป็นสิทธิอันชอบธรรมหรือ ปกป้องสิทธิชุมชนและสิ่งแวดล้อมเพื่อสันติภาพไม่ใช่ก่อการร้ายทำลายชาติ

ในขณะที่ กทม. ซึ่งเป็นศูนย์กลางอำนาจ รัฐบาล คสช. กำลังถูกท้าทายอำนาจโดยที่มีกิจกรรมคล้ายๆ กับการเดินเทใจให้เทพา

กล่าวคือ 20 มกราคม 2561 เครือข่ายประชาชนและนักวิชาการ ที่ใช้ชื่อ People Go Network Forum จัดกิจกรรม We Walk เดินมิตรภาพ ชวนทุกคนมาร่วมเดินทาง 800,000 ก้าว 450 กิโลเมตร จากมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ศูนย์รังสิต ถึง จ.ขอนแก่น เพื่อเชื่อมร้อยประชาชนที่มีความคิดเห็นแตกต่าง ร่วมกันแสดงความคิดเห็นสะท้อนปัญหาผลกระทบจากนโยบายรัฐ ใน 4 ประเด็นหลัก คือ รัฐสวัสดิการความมั่นคงทางอาหาร ทรัพยากรธรรมชาติ สิทธิชุมชน และเสรีภาพตามรัฐธรรมนูญ

แต่รัฐก็ยังใช้วิธีการเดิมในการทำทุกวิถีทางในการสกัดกั้นการเคลื่อนไหวครั้งนี้

หมอสุภัทร ฮาสุวรรณกิจ ได้แสดงทัศนะของการเดินทั้งสองครั้งนี้ว่ามันคือพลังแห่งการเดิน ซึ่งพลังการเดินครั้งนี้จะเป็นพลังแห่งการบ่อนเซาะทำลายอำนาจเผด็จการของรัฐบาล คสช.

กล่าวคือ รัฐธรรมนูญใหม่กำหนดสิทธิเสรีภาพของประชาชนไว้ชัดเจน แต่พอประชาชนจะเดินไปหาเพื่อน เดินเพื่อไถ่ถามทุกข์สุขของพี่น้องร่วมชาติ กลับถูกสั่งห้ามด้วยกฎหมายหยุมหยิม ประกาศ คสช. อันไร้ความชอบธรรม และเหตุผลที่ไม่มีน้ำหนักใดๆ

สิ้นเดือนพฤศจิกายน 2560 ชาวบ้านเทพาเดินเทใจไปหานายกฯ เดินอย่างสงบ เป็นระเบียบและขออนุญาตตาม พ.ร.บ.ชุมนุมแล้ว แต่กลับถูกจับดำเนินคดีด้วยข้อหาตลกร้าย 4 ข้อ คือ

1. ผิด พ.ร.บ.ชุมนุม (ขออนุญาตก็หาจุดผิดจนเจอ ไม่ขอก็บอกว่าผิดที่ไม่ขออนุญาต)

2. กีดขวางการจราจร (แท้จริงคนที่ขวางจริงคือเจ้าหน้าที่รัฐตอนกั้นม็อบต่างหาก)

3. ทำร้ายเจ้าหน้าที่ (แล้วรัฐไม่ได้ทำร้ายชาวบ้านหรือ พี่น้องบางคนถึงกับถูกบีบคอ มีชาวบ้านถูกส่งไปโรงพยาบาลถึง 4 คน)

4. มีอาวุธในครอบครอง (ไม้ด้ามธงที่ถือโบกแสดงสัญลักษณ์การเดิน กลายเป็นอาวุธร้ายแรงไปแล้ว)

พี่น้องเทพาและเครือข่ายวิชาการได้ถอดบทเรียนการเดินเทใจให้เทพาแล้วว่า “ฝ่ายความมั่นคงจะจับเสียอย่างจะทำไม จับไปก่อน จับโดยไม่มีการแจ้งข้อหา ไปนอนโรงพักตั้งนาน กว่าที่ฝ่ายความมั่นคงจะคิดออกว่าจะยัดข้อหาอะไร”

นี่คือความจริงที่ผ่านมา

สําหรับ “We Walk เดินมิตรภาพ” นั้น โดนสกัดตั้งแต่ยังไม่ทันเดิน แม้จะปรับแผนเป็นกลุ่มย่อยและออกเดินได้ในที่สุด แต่การกวนการสกัดจะเกิดขึ้นตลอดทาง

ส่วนหนึ่งสกัดเพื่ออย่างน้อยในเบื้องต้นก็ไม่ให้ขบวนนั้นใหญ่ขึ้น และหาโอกาสรวบเมื่อนายใหญ่สั่ง

รัฐธรรมนูญแม้กำหนดสิทธิเสรีภาพประชาชนไว้สวยหรู แต่ คสช. รัฐบาลกลับเอากฎหมายหยุมหยิม ระเบียบ คสช. ที่ล้าหลัง มาปิดกั้นเสรีภาพ สะท้อนธาตุแท้เผด็จการที่ยังหวังต่อท่อเผด็จการจะเป็นนายกฯ ต่อหลังเลือกตั้ง

เมื่อรัฐปิดกั้น หน้าที่ของประชาชนคือการง้างให้เปิดกว้าง ง้างกันคนละไม้คนละมือ สู่เสรีภาพและประชาธิปไตยจากสองมือสองเท้าของเรา

จากเดินเทใจให้เทพา ถึงเดินมิตรภาพ We Walk ที่ กทม. รัฐน่าจะถอดบทเรียนได้ว่า การยิ่งใช้ทุกกระบวนท่าในการปิดกั้นจะยิ่งลดมวลชนกองหนุนรัฐบาลแล้วกลับไปเสริมคนเห็นต่างและศัตรูทางการเมืองรัฐแล้ว

วาทกรรมที่บอกว่ามีคนธุรกิจสีเทากับนักการเมืองที่เสียอำนาจจ้องล้มรัฐบาลจะยิ่งหมดความชอบธรรม