เผยแพร่ |
---|
ฮุน เซน :
บนทางวิบากสู่ฐานะผู้นำ
สมเด็จฮุน เซน เคยผ่านเส้นทางชีวิตมายาวไกลจากลูกชาวนาจังหวัดกำปงจาม ต้องเร่ร่อนออกจากบ้านตั้งแต่อายุ 13 ปี อาศัยกินอยู่ในวัด และเรียนหนังสือด้วยความยากลำบาก
ในปี 2513 เมื่ออายุ 18 ปีเข้าร่วมกองทัพปฏิวัติ (เขมรแดง) กับเจ้านโรดมสีหนุ (อดีตนายกรัฐมนตรีกัมพูชาในขณะนั้น) แย่งชิงอำนาจจาก นายพลลอน นอล (Lon Nol) ซึ่งมีสหรัฐอเมริกาหนุนหลัง อันเป็นการร่วมขบวนการปลดแอกจากมหาอำนาจ ทำให้เขมรแดงได้ครองประเทศในปี 2518-2521
ปี 2520 หนีการไล่ล่าของเขมรแดงไปอยู่เวียดนาม ในปี 2522 เมื่อทหารเวียดนามเข้ายืดครองกัมพูชา ฮุน เซน ก็ได้รับแต่งตั้งเป็นรัฐมนตรีว่าการต่างประเทศ ปี 2525 ได้เป็นรองนายกรัฐมนตรีและในปี 2528 ก็ได้เป็นนายกรัฐมนตรีด้วยวัยเพียง 33 ปี
ฮุนน เซน เป็นผู้กล้าที่มีประสบการณ์การสู้รบมาอย่างโชกโชน เป็นผู้ชาญฉลาดสามารถใช้กองกำลังเวียดนามเป็นเครื่องหนุนส่งให้ตนเองมีอำนาจปกครองกัมพูชาได้อย่างยาวนาน
ผ่านการต่อสู้ท้าทายกับกลุ่มชนชั้นศักดินาและกองกำลังทหารที่เคยแย่งชิงอำนาจหลายครั้ง เป็นผู้นำพรรคประชาชนกัมพูชา หรือ CPP ที่ครองตำแหน่งนายกรัฐมนตรีกัมพูชามานานถึง 38 ปี และประกาศจะลงจากตำแหน่งนายกฯ พร้อมถ่ายโอนอำนาจให้ ฮุน มาเนต บุตรชายคนโต ในวัย 71 ปี
แต่ในอดีตนั้นเคยประกาศเป็นนายกฯ ไปจนถึงอายุ 90 ปี
ผูกขาดทางเศรษฐกิจ
ครอบครัว ฮุน เซน และผู้บริหารพรรคซีพีพีครองที่ดิน และทรัพยากรต่างๆ มากมาย เป็นนายหน้าค้าประโยชน์จากการท่องเที่ยว และการลงทุน จากนานาชาติที่หลั่งไหลสู่กัมพูชา รวมทั้งจากนักลงทุนชาวไทย
อำนาจการปกครองถูกแปลงสภาพนำมาใช้เก็บเกี่ยวผลประโยชน์ในเชิงธุรกิจจากคนในชาติและคนต่างชาติ เช่น การซื้อขายตำแหน่ง การเลื่อนชั้นบรรดาศักดิ์ของผู้คน การแปลงสัญชาติให้กับชาวต่างชาติ และที่สำคัญ คือ การแลกเปลี่ยนผลประโยชน์จากการผูกขาดสัมปทานกิจการต่างๆ ในกัมพูชา อันเป็นช่องทางสร้างความมั่งคั่งให้กับตนเองและพรรคพวกของผู้นำคนนี้
กลยุทธ์ทางการเมืองกึ่งเชิงการรบ ถูกนำมาใช้กับผู้ใดก็ตามที่คิดหมายท้าทายอำนาจของผู้นำ เป็นที่ร่ำลือกันว่า ขบวนการเผาสถานทูตไทย และทำลายสถานประกอบการทางธุรกิจของคนไทยในกรุงพนมเปญในปี 2546 คือตัวอย่างหนึ่งในเกมอันแยบยลสำหรับการสยบนักธุรกิจต่างชาติในกัมพูชาที่เคยคิดท้าทายอำนาจของ ฮุน เซน
และเป็นวีธีการตีเมืองขึ้นทางธุรกิจที่ได้ผลชะงัดจนทุกฝ่ายต้องศิโรราบให้กับผู้นำเลือดนักรบผู้นี้
ธุรกิจที่แยกไม่ออกจากการเมือง
“แปรศัตรูเป็นมิตร”
การเลือกตั้งกัมพูชา ปี 2536 (เป็นการเลือกตั้งที่สหประชาชาติเป็นผู้สนับสนุนตามกระบวนการสันติภาพ หลังจากกัมพูชาต้องเผชิญสงครามกลางเมืองมานาน จนกระทั่งกลุ่มเขมรแดงล่มสลาย) พรรคฟุนซินเปกนำโดยเจ้ารณฤทธิ์ “นโรดม รณฤทธิ์” ชนะเลือกตั้ง
แต่ “ฮุน เซน” ไม่ยอมรับผลการเลือกตั้งนี้ ต่อมามีการเจรจาต่อรองจน “ฮุน เซน” ยอมรับดำรงตำแหน่งนายกฯ ร่วมกับเจ้ารณฤทธิ์ ถือเป็นครั้งแรกในกัมพูชาที่มีนายกรัฐมนตรีถึงสองคน
จนกระทั่งภายหลังทั้ง 2 ขัดแย้งกัน จนเกิดรัฐประหารในปี 2540 เพื่อโค่นล้มเจ้ารณฤทธิ์ โดยฮุน เซนได้รวบอำนาจไว้แต่ผู้เดียว
อย่างไรก็ตาม เจ้ารณฤทธิ์พยายามกลับมามีอำนาจอีกหลายครั้ง ระหว่างที่ทั้งสองขับเขี้ยวกันอยู่
พ.ต.ท.ทักษิณ ซึ่งมีธุรกิจหลายอย่างที่เข้าไปลงทุนในกัมพูชา โดยเฉพาะกิจการด้านการสื่อสารที่มีมูลค่าสูง เป็นผู้ทรงอิทธิพลที่เคยถูกตั้งข้อสงสัยว่าเข้าไปมีส่วนในความพยายามโค่นล้มรัฐบาล ฮุน เซน ในช่วงปี 2540
จนกระทั่งถูกลบเหลี่ยมด้วยเหตุการณ์มวลชนเขมรบุกเผาบริษัทชินวัตร เทเลคอมมูนิเคชั่น สาขาพนมเปญ ในช่วงการจลาจลเผาสถานทูตไทยในปี 2546
หลังจากนั้นก็กลับสำหันมาใช้ยุทธวิธี “แปรศัตรูเป็นมิตร” สานสร้างสัมพันธไมตรีกับผู้นำอันเป็นการยอมรับความจริงว่า ผู้ยิ่งใหญ่แห่งกรุงพนมเปญผู้นี้ได้วางรากฐานการเมืองการรวบรวมกองกำลัง การรวมกลุ่มขั้วอำนาจ และการสร้างความนิยมจากประชาชนกัมพูชาไว้อย่างแน่นหนา มั่นคงจนยากที่ใครจะต่อกรได้กัมพูชาแทน
เมื่อความสัมพันธ์ระหว่าง พ.ต.ท.ทักษิณกับฮุน เซน แน่นแฟ้นขึ้น มูลค่าการลงทุนของตระกูลชินวัตรในกัมพูชาก็เพิ่มพูนขึ้นอีกหลายเท่าตัว