หนังสือเรียนสำหรับเด็ก (๑๘๑)

ฟ้า พูลวรลักษณ์

บทความพิเศษ | ฟ้า พูลวรลักษณ์

 

หนังสือเรียนสำหรับเด็ก (๑๘๑)

 

ปัญหาโลกร้อน สิ่งที่มนุษย์ต้องการคือเปลี่ยน Mindset การเปลี่ยนแปลงนี้ เกิดขึ้นได้ด้วยการศึกษา การค่อยๆ เรียนรู้จากประสบการณ์รอบตัว แต่มันกินเวลานาน อาจต้องกินราวหนึ่งชีวิต Mindset ของมนุษย์จึงจะรับมือกับปัญหาโลกร้อนได้ ซึ่งก็จะสายเกินไป

ทางออกหนึ่งคือรัฐบาลทั่วทั้งโลกประชุมกัน และกำหนดนโยบายเปลี่ยน Mindset ของมนุษย์ ด้วยการกำหนดกฎหมายบังคับมนุษย์ ซึ่งน่าจะทำได้ใน ๒๐ ปี ซึ่งก็เร็วกว่าปล่อยให้จิตของเราเปลี่ยนเอง และอยู่ในเกณฑ์พอจะทันการณ์ ปัญหาอยู่ที่ว่ารัฐบาลทั่วโลกพร้อมจะทำไหม

หาก Mindset นี้เปลี่ยน มนุษย์จะเที่ยวน้อยลง บินน้อยลง กินเนื้อสัตว์น้อยลง ใช้พลังงานที่ก่อให้เกิดคาร์บอนน้อยลง ทำลายป่าไม้น้อยลง สร้างมลภาวะน้อยลง

เหมือนสมัยก่อน มนุษย์ยังไม่มีคอนเซ็ปต์ของการทิ้งขยะ มนุษย์ในยุคนั้น รู้สึกว่าแม่น้ำลำคลองทุกสาย คือที่ทิ้งขยะ ทะเลสาบ หนองบึงทุกแห่ง หรือแม้แต่ทะเล คือถังขยะใบใหญ่ รองรับขยะได้ไม่สิ้นสุด

มนุษย์ยุคนั้นจึงทิ้งขยะไปตามแม่น้ำลำคลอง ทะเล มหาสมุทร อย่างสนุกสนาน อย่างไม่ต้องกริ่งเกรงสิ่งใด ไม่ต้องละอายใจ ชีวิตช่างเบิกบานเสียเหลือเกิน ฉันเห็นบางคนแม้ในยุคนี้ ก็ยังมี Mindset แบบนี้ ยังทิ้งขยะแบบไม่เลือกที่ เปิดหน้าต่างกระจกของรถยนต์แล้วทิ้งขยะลงบนท้องถนน บ้านอยู่ใกล้ลำคลอง ก็รวบรวมขยะในบ้าน แล้วเทลงไปในลำคลอง เพื่อปล่อยให้สายน้ำพัดพาขยะเหล่านั้นออกไปเอง นี้เป็นจิตที่ไม่ผิดโดยตัวมันเอง หากแต่ผิดยุค

แต่ในวันนี้ Mindset โบราณแบบนี้ เหลือน้อยแล้ว เราเริ่มรู้และเข้าใจว่าขยะไม่ควรทิ้งเรี่ยราด แต่ทว่า Mindset สำหรับภาวะโลกร้อน เป็นอีกสิ่งหนึ่งที่เข้มกว่าสิบเท่า

ปัญหาโลกร้อน ต้องแก้ด้วย Mindset เพราะมันจะเปลี่ยนพฤติกรรมของชาวโลก เริ่มต้นอาจด้วยกฎหมาย ด้วยการบีบบังคับ เหมือนการมีแรงชนิดหนึ่งมาบีบมือของเราให้แน่น แต่ไม่ถึงกับเจ็บปวดมากนัก

ข้อนี้สำคัญ เพราะมนุษย์ย่อมไม่ควรกระทำต่อกันอย่างทารุณเกินไป แต่การบีบพอให้แน่น และค่อยๆ ซึมเข้ามา แต่ละมาตรการ ในแต่ละปี ในที่สุด ๒๐ ปีมันก็กลายเป็น Climate Mindset

คนที่พูดว่า ให้มนุษย์ทุกคนมาร่วมใจกันเอง ช่วยเหลือกันเอง ในการรักษ์โลก พูดแบบนี้คือการปล่อยให้ Climate Mindset เกิดขึ้นเอง ซึ่งเกิดขึ้นได้ แต่ต้องใช้เวลานาน มันจะช้าเกินไป

 

แต่มันต้องเป็นกฎหมายที่ยอมรับกันทั่วโลก ทำพร้อมกัน ไม่ให้เป็นความคิด หรือการกระทำของพรรคการเมืองพรรคใดพรรคหนึ่ง เพราะหากเป็นเช่นนั้น ก็จะทำไม่ได้ และเกิดการทะเลาะวิวาทกันไม่สิ้นสุด สิ่งนี้อยู่เหนือการเมือง

Mindset ของฉันก็เปลี่ยนมาเรื่อย จำได้ว่าเมื่อยี่สิบกว่าปีก่อน Mindset ของฉัน รับรู้ถึงสภาวะโลกร้อน แต่ก็ยังรู้สึกเย็นกว่านี้ เช่นเดียวกับผู้คนอีกจำนวนมาก แสดงว่า อุณหภูมิของจิตก็ค่อยๆ ขยับขึ้น เรื่องนี้ไม่มีใครผิดใครถูก เป็นเรื่องของชีวิตแต่ละปัจเจกชน

หากวันนี้ ฉันต้องจุดธูปสักดอก หรือเผาถ่านสักก้อน จิตของฉันรู้สึกว่า สิ่งนี้มีผลต่อบรรยากาศของโลก แม้มันจะเพียงแค่นิดเดียว ข้อสำคัญฉันจะถามตัวเองต่อ ว่าการจุดธูปหนึ่งดอกนี้ มีความจำเป็นใด เช่น หากนี่เป็นการเซ่นไหว้บรรพบุรุษ ฉันจะถามตัวเองว่า มันมีความจำเป็นจริงหรือ คนที่มี Mindset แบบเก่า อาจคิดว่ามันจำเป็น และการจุดธูปสักดอก หรือร้อยดอก ก็ไม่มีผลอะไรต่ออากาศ การไม่จุด กลับอาจจะไปรบกวนดวงวิญญาณของบรรพบุรุษ

ยากทีเดียว ที่จะลบ Mindset แบบเก่าออกไป

นานาประเทศกำลังอยากแก้ปัญหาโลกร้อน แต่มันก็ขัดแย้งกับนโยบายภายในประเทศ เช่น โครงการถนนใหญ่สุด โครงการรถไฟใหญ่สุด โครงการสนามบินใหญ่สุด โครงการขุดน้ำมันใหญ่สุด โครงการศูนย์การค้าใหญ่สุด

สิ่งเหล่านี้ย้อนแย้งกัน เหมือนกับว่ามันไปคนละทิศคนละทาง หัวไปทาง หางไปทาง หากคุณรักษ์โลก คุณต้องทำโครงการเป็นตรงกันข้าม ทำโครงการถนนสายเล็กสุด ทำทางรถไฟสายเล็กสุด ทำสนามบินที่เล็กที่สุด หยุดขุดน้ำมัน

คนโสด รักษ์โลกได้ดีกว่า แต่ต่อให้คนโสดทั้งโลกรวมตัวกัน ก็ยังเป็นชนหมู่น้อยอยู่ดี รวมไปถึงพ่อหม้ายแม่หม้ายทั้งหลาย มารวมด้วย ก็ยังน้อยไป ที่สำคัญคือคนมีครอบครัว เพราะมนุษย์จะเผชิญหน้ากับความรักลูก จุดอ่อนของตัวเอง

ความลึกซึ้งของ Quantum อยู่ที่ว่า ต่อให้โลกของเรานี้ กลายเป็นดาวอังคาร หรือกลายเป็นดาวศุกร์ มนุษย์ก็ยังรอดอยู่ดี มันมีทางรอด ด้วยเพราะใน Chaos ยังมีระเบียบอย่างเหลือแสนซุกซ่อนอยู่ เป็นระเบียบที่กว้างใหญ่ไพศาล สุดจะบรรยายได้

มนุษย์ไม่สูญพันธุ์ง่ายๆ แต่ทว่าชีวิตกำลังจะเข้าสู่ความทุกข์เข็ญ อย่างยากจะเชื่อได้

 

ประสบการณ์สำคัญวันหนึ่งของฉัน คือการได้มาสัมผัสกับ Fractal ซึ่งเป็นสิ่งที่ฉันไม่รู้จะอธิบายยังไง มันเหมือนวันนั้นฉันได้รู้แล้วว่า พระเจ้าตายแล้ว

Fractal ทำให้ฉันรู้ข้อมูลอีกอย่างหนึ่งคือ ใน Chaos มีระเบียบวินัย และบทมันจะมี มันมีอย่างเหลือหลาย มากมิติ มันเหมือนฉันมองเห็นอนาคตของมนุษย์ ไกลไปเป็นแสนล้านปี

Fractal ทำให้ฉันเห็นว่าในซ้ายสุดมีขวา แต่ในขวาสุดกลับไม่มีซ้าย อันนี้ประหลาดมาก เพราะ Fractal เกิดจากสมการชนิดหนึ่ง แต่ไม่ใช่เกิดจากทุกสมการ มันเป็นสมการที่ทำซ้ำ ครั้งแล้วก็ครั้งเล่า และเกิดเป็นภาพขึ้นในคอมพิวเตอร์ ภาพที่เกิดขึ้นนี้มีมิติไม่สิ้นสุด นี้เป็นภาพที่สวยงามที่สุดภาพหนึ่งในจักรวาล และไม่เคยมีมนุษย์คนไหนวาดได้

เป็นครั้งแรกที่ฉันพูดได้เต็มปากว่า Fractal เป็นภาพที่เหนือกว่าภาพ Mona Liza บางคนอาจบอกว่า ไม่แฟร์เลยที่จะเปรียบเทียบกัน หากแต่ฉันคิดว่า ภาพคือสิ่งที่ฉันดูแล้วเกิดความรู้สึก หากไร้ความรู้สึก ภาพก็ไม่มีความหมาย และสองภาพนี้ทำให้ฉันเกิดความรู้สึก แต่ทว่าความรู้สึกของ Fractal เหนือล้ำกว่า

๑๐

แต่ชีวิตคนเรา อยู่ได้แค่หนึ่งร้อยปี ดังนั้น ในชีวิตจริง เรามองไปทางไหนจะมองไม่เห็น Fractal หากแต่อย่างน้อยเรารู้แล้วว่า เราอยู่ภายในนั้น หากมนุษย์อยากมีอนาคต เราต้องไปทางซ้าย เพราะขวาจะตันสนิท แต่ซ้าย ไม่ว่าจะ Chaos เพียงไหน มันจะมีทางไปได้ และเส้นทางนั้นบรรเจิดจ้า กว้างไกลเหลือแสน รองรับได้หมด นับแสนล้านปี

๑๑

ฉันอดคิดถึงสองรัฐในอดีตไม่ได้

Sparta

Athens

สองรัฐนี้แตกต่างกันมาก จนน่าประทับใจ ทุกวันนี้ไม่มี Sparta แล้ว นอกจากตำนานเล่าขานถึงความกล้าหาญ ความเรียบง่าย ความบริสุทธิ์ แต่ทว่า มันก็แฝงไว้ด้วยความคร่ำครึ ความคับแคบ ความเป็นเผด็จการสูงสุด นี้คือขวา ใครรัก ก็ชื่นชม ใครไม่รัก ก็ต่อว่า

ส่วน Athens เป็นนครที่มีอาการจะเข้าสู่โลกยุคใหม่ มีหมดทุกศาสตร์ มีนักปราชญ์มากมาย มีการทะเลาะเบาะแว้ง มีความโลภ ความคดโกง เพราะเป็นรัฐที่ทำการค้า เป็นเมืองท่า ในขณะที่ Sparta ไม่ทำการค้า เป็นรัฐที่อยู่ในที่ราบ เก็บตัว พวกเขาไม่มีแม้แต่เงินหรือทอง

สองรัฐนี้ดับสลายไปแล้ว แต่ทว่า มรดกของ Athens ยังอยู่มาถึงทุกวันนี้ ในรูปของสถาปัตยกรรม ในวรรณกรรม ในปรัชญา ในวิทยาศาสตร์ แต่ Sparta ไม่เหลืออะไรเลย เหลือแค่ตำนาน แม้กระนั้น ฉันก็ยังอดพิศวงไม่ได้อยู่ดี ว่าใครดีกว่ากัน

คิดถึง เพราะจิตของฉันมีสิ่งดลใจให้คิด แต่มันโบราณมาก Athens กับ Sparta ดับสลายในเวลาใกล้เคียงกัน เพราะในยุคหลัง ชาว Sparta เปลี่ยนไป ไม่ได้บริสุทธิ์เหมือนแต่ก่อน จึงรบแพ้ และถูกศัตรูทำลายราบคาบ แต่พวกเขาก็อยู่ได้นานหลายร้อยปี การดับสลายเป็นความไม่เที่ยงของสังขาร พวกเขาเก่งมากแล้ว

แต่ฉันสังเกตอย่างหนึ่งว่า ยามจะเปลี่ยน เพียงแค่หนึ่งชั่วอายุคน หนึ่งชนชาติก็เปลี่ยนได้ มนุษย์เปลี่ยนได้ง่ายเหลือเกิน เหมือนเชื้อโรคที่ลามเร็ว ไม่กี่ปีก็ลามหมดทั้งตัว ต่อให้เคยดีมานานปานไหน ก็เอาไม่อยู่

 

๑๒

มองยังไงก็ตัดสินไม่ได้ว่าใครดีกว่ากัน เหมือนซ้ายขวานี้ ยากจะตัดสิน แต่ทว่า Fractal ตัดสินได้ ด้วยเพราะมันทำให้ฉันรู้ตัวว่า ในซ้ายสุดมี Fractal แต่ในขวาสุด มันตัน ประหลาดยิ่งนัก หากมนุษย์อยากเดินทางไปในอวกาศ อยากมีชีวิตในมิติอื่น ยังอยากมีอนาคต ก็ต้องไปทางนี้เท่านั้น ความมหํศจรรย์ของ Fractal ทำให้ฉันหนาววาบ

ใครอยากเห็น Fractal ต้องเข้าไปในคอมพ์ แล้วดูลึกเข้าไปทีละมิติ มนุษย์สามารถเข้าสู่ Fractal ได้ เพราะมนุษย์เป็นผู้สร้างสมการเหล่านี้ และในวันนั้น มนุษย์มีจำนวนไม่จำกัด มีที่อยู่ไม่จำกัด มันเหลือแค่ตัวมนุษย์กับกาลเวลาเท่านั้น และกาลเวลาขึ้นกับอายุของเอกภพ ซึ่งไกลเกินกว่าจะรับรู้ได้

๑๓

สมัยหนึ่ง ฉันเขียนนิยายเรื่อง โรงเรียนที่เงียบที่สุดในโลก ในนั้นมีเด็กนักเรียนคนหนึ่งแบ่งตัวออกเป็น ๘ คน แล้วจาก ๘ แบ่งเป็น ๖๔ คน ท้ายสุด ก็แบ่งตัวอีกที กลายเป็น ๕๑๒ คน และนั่นคือที่สุดของพลังของฉัน ฉันเขียนต่อไม่ได้แล้ว แต่โดยหลักคิด นี้คือ Fractal

เคยมีคนมาบอกฉันว่า เมื่อแบ่งตัวเป็น ๘ แล้ว น่าจะยุบตัวลงกลับมาเหลือ ๑ ตามเดิม แต่นั่นเป็นแนวคิดแบบเก่า ซึ่งฉันไม่ชอบ ฉันชอบการขยายตัวไม่สิ้นสุดมากกว่า แม้ว่าจะอธิบายไม่ได้ จบไม่ลง หากแต่มันก็สนุกกว่า และสมจริงกว่า

โลกนี้จะเป็นเช่นนี้เสมอ จะมีซ้ายกับขวา ฝ่ายขวาจะกลับที่เดิม ซึ่งสงบ เรียบง่าย ส่วนซ้ายก็ไปต่อ จะยังวุ่นวายไม่เลิกรา และอย่างที่กล่าว หากมองจากหนึ่งร้อยปี ก็มองไม่ออก ว่าอะไรดีกว่า แต่หากมองไปไกลสุดจักรวาล มันต่างกันมากหลาย ขวาจะเข้มแข็งได้อย่างมากห้าร้อยปี หรือต่อให้เป็นหนึ่งพันปี มันก็ต้องแตกดับ ด้วยเพราะโครงสร้างภายใน ไม่มี Fractal แต่สิ่งนี้มีอยู่ในฝ่ายซ้าย

๑๔

มีแต่ Chaos เท่านั้น จึงจะกำเนิด Fractal