เปิดมหากาพย์ จีนสีเทา ก้าวไกลลุยแฉกลางสภา จาก ตู้ห่าว ถึง หยู ซินฉี ชูวิทย์แจ้งเอาผิด ม.112

เป็นมหากาพย์ภาคต่อของทุนจีนสีเทาที่น่าติดตาม จากที่ต้องตกตะลึงกันไปแล้วกับเครือข่ายตู้ห่าว ที่ระบุว่ามีการช่วยเหลือจนได้วีซ่าเข้าประเทศ มีธุรกิจข้ามชาติใหญ่โต แถมยังเกี่ยวพันกับธุรกิจมืด ทั้งบ่อนการพนันและยาเสพติด

นำมาซึ่งการจับกุมกวาดล้าง และสั่งตรวจสอบเจ้าหน้าที่ตำรวจที่ระบุว่ารู้เห็นเป็นใจ หรือปล่อยปละละเลยกับเรื่องดังกล่าว

มาครั้งนี้ก็สั่นสะเทือนไม่แพ้กัน เมื่อ ส.ส.รังสิมันต์ โรม จากพรรคก้าวไกล ได้นำข้อมูลไปอภิปรายในสภา ที่นอกจากระบุถึงตู้ห่าว หลินหลง ที่เคยมีชื่อก่อนหน้านี้ ยังได้เปิดชื่อของหยู ซินฉี ประธานมณฑลซ่านซีสมาคมแห่งประเทศไทย ที่ระบุว่าทำมูลนิธิสมาคมในประเทศไทยมาเป็นเวลานาน

มีการประชาสัมพันธ์ด้วยภาพถ่ายใกล้ชิดสนิทสนมกับผู้หลักผู้ใหญ่ในรัฐบาล และพระบรมวงศานุวงศ์

แอบอ้างความใกล้ชิด เพื่อหลอกลวงเรี่ยไรเงินบริจาค อ้างเพื่อประโยชน์ต่างๆ ทั้งการติดต่อธุรกิจ วีซ่าให้ชาวจีนที่จะมาลงทุนในไทย

กลายเป็นคำถามต่อหน่วยงานความมั่นคงของไทย ว่าทำไมถึงปล่อยให้เกิดการตั้งมูลนิธิ-สมาคมเถื่อน แอบอ้างเบื้องสูงเพื่อแสวงหาประโยชน์เช่นนี้เกิดขึ้น

เป็นคำถามที่สังคมต้องการคำตอบเหลือเกิน

หลักฐานที่ใช้อภิปราย

แฉจีนเทาอีก-อ้างเบื้องสูง

กลายเป็นเรื่องที่ส่งผลกระทบต่อหน่วยงานของรัฐอย่างยิ่ง เมื่อ ส.ส.รังสิมันต์ โรม จากพรรคก้าวไกล ใช้เวทีอภิปรายทั่วไปตามมาตรา 152 เมื่อวันที่ 15 กุมภาพันธ์ เปิดโปงข้อมูลเพิ่มเติมของกลุ่มทุนจีนสีเทา ที่นอกจากไล่เรียงตั้งแต่ตู้ห่าว หรือนายชัยณัฐร์ กรชายานันท์ หลินหลง ที่มีภาพแต่งกายชุดเครื่องแบบทหารบกของไทย ยศพันเอกพิเศษ นายเซาเซียนโป ที่ปรึกษาสมาคมพ่อค้าไทยในพระบรมราชูปถัมภ์ ที่ใกล้ชิดกับบิ๊ก ปปง. เจ้าของคฤหาสน์หรูย่านปทุมธานี ที่มีหัวรถไฟจำลองตกแต่ง

ยังเปิดโปงถึงขบวนการจีนสีเทาคนอื่นๆ อาทิ นายเสอ จื้อเจียง นักธุรกิจใหญ่เจ้าของบริษัท หย่าไถ่ ที่มีสำนักงานใหญ่อยู่ที่กรุงเทพฯ และสุดท้ายถูกจับกุมเมื่อเดือนสิงหาคม 2565 ตามหมายแดงของประเทศจีน ในความผิดฐานพัวพันขบวนการค้ามนุษย์

ที่สำคัญไปกว่านั้นคือ นายหยู ซินฉี ประธานสมาคมมณฑลส่านซีสมาคมแห่งประเทศไทย ที่มีนายเสอ จื้อเจียง เป็นประธานกิตติมศักดิ์ โดยสมาคมแห่งนี้ก่อตั้งเมื่อวันที่ 18 ตุลาคม 2560 ทำหน้าที่ให้บริการแนะนำการลงทุนและซื้ออสังหาริมทรัพย์ ช่วยคนจีนจดทะเบียนบริษัทในไทย ติดต่อนัดพบเจ้าหน้าที่ระดับสูงของรัฐบาล และช่วยเหลือในการขอวีซ่า

แต่เมื่อไปตรวจสอบฐานข้อมูลสมาคมในประเทศไทย กลับไม่พบว่ามีสมาคมชื่อนี้จดทะเบียนจัดตั้งอย่างถูกต้องตามกฎหมายในไทยมาก่อน

ส.ส.รังสิมันต์ยังเปิดเผยว่า หยู ซินฉี ยังเปิดโรงเรียนธุรกิจเอเชียนสตาร์ และเป็น ผอ.โรงเรียน แต่ไม่พบว่ามีการจดทะเบียนเป็นสถานศึกษา ซึ่งสอดคล้องกับขบวนการนำจีนเทาผ่านแดนเข้าประเทศไทย โดยทำวีซ่านักเรียน ทั้งที่โรงเรียนดังกล่าวไม่มีจริง หรือเข้ามาในฐานะอาสาสมัครมูลนิธิต่างๆ จึงน่าสงสัยว่าสมาคมและโรงเรียนของหยู ซินฉี มีพฤติกรรมอย่างนั้นหรือไม่ และเป็นภัยต่อความมั่นคงหรือไม่อย่างไร

นอกจากนี้ ยังพบว่ามีการโฆษณาชวนเชื่อในบทความโซเชียลมีเดียของสมาคม เผยแพร่เป็นภาษีจีน ระบุว่าได้รับเชิญเป็นที่ปรึกษาด้านกิจการจีนของเชื้อพระวงศ์ในไทย และนายพลราชองครักษ์ ทั้งที่เชื้อพระวงศ์ที่ว่าคือระดับหม่อมราชวงศ์ ที่ถือเป็นสามัญชน ส่วนที่ปรึกษานายพล ก็เป็นการจ้างที่ปรึกษาส่วนตัว แต่กลับนำเรื่องมาบิดเบือนปั่นราคาตัวเอง

ไม่เพียงแค่นั้นยังมีการนำภาพถ่ายคู่กับบุคคลสำคัญ ทั้ง พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกฯ องคมนตรี สมเด็จพระสังฆราช และไปถึงขั้นพระบรมวงศานุวงศ์ เพื่อสร้างภาพให้ตัวเองมีความสำคัญ หลอกลวงนักลงทุนจากจีนเอง

และยังมีเอกสารภาษาจีน บรรยายสรรพคุณของหยู ซินฉี ถึงขั้นได้รับการแต่งตั้งให้เป็นสมาชิกของราชวงศ์ไทย

แอบอ้างเพื่อการหลอกลวงอย่างชัดเจน!??

กลายเป็นคำถามถึงหน่วยงานความมั่นคงของไทย จะปล่อยผ่านหรือดำเนินการอย่างไร

ชูวิทย์แจงจับม.112

ตร.-มท.เต้นบุกแจ้งข้อหา

ภายหลังการเปิดโปงข้อมูลของ ส.ส.รังสิมันต์ วันที่ 17 กุมภาพันธ์ ก็มีรายงานว่า พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ หักพาล รอง ผบ.ตร. พล.ต.ท.ภาคภูมิพิพัฒน์ สัจจพันธุ์ ผบช.สตม. และ พล.ต.ต.พันธนะ นุชนารถ รอง ผบช.สตม. สั่งการให้ตำรวจตรวจคนเข้าเมือง พร้อมเจ้าหน้าที่กรมการปกครอง เชิญตัวนายหยู ซินฉี ประธานมณฑลส่านซีสมาคมแห่งประเทศไทย จากบ้านพักบนถนนจตุโชติ ย่านวัชรพล-วงแหวน ไปสอบถามข้อมูลที่สำนักงานตรวจคนเข้าเมือง เมืองทองธานี

ทั้งนี้ ตรวจสอบพบว่านายหยู ซินฉี เดินทางเข้ามาในประเทศไทยโดยใช้วีซ่าบั้นปลายชีวิตหรือวีซ่าเกษียณอายุ สำหรับชาวต่างด้าวที่มีอายุตั้งแต่ 50 ปีขึ้นไป และต้องการอาศัยอยู่ในประเทศไทย ขั้นตอนในการขอวีซ่าถูกต้อง มีการแสดงหลักฐานทางการเงิน คือเงินฝากในบัญชีออมทรัพย์ หรือบัญชีเงินฝากประจำไม่น้อยกว่า 800,000 บาท หรือมีเงินไม่น้อยกว่าเดือน 65,000 บาท โดยเงินได้ 12 เดือน รวมกันไม่น้อยกว่า 800,000 บาท อย่างไรก็ตาม เพิกถอนวีซ่าของนายหยู ซินฉีเป็นที่เรียบร้อยแล้ว

นายพิพัฒน์ยชญ์ วัชฤทธิ์ ผอ.ส่วนกำกับและตรวจสอบ สำนักสอบสวนและนิติการ กรมการปกครอง ยอมรับว่า ไม่เคยได้ยินชื่อของสมาคมนายหยู ซินฉีมาก่อน กระทั่งปรากฏเป็นข่าว

เมื่อตรวจสอบข้อมูลในสารบบทะเบียนการจัดตั้งสมาคมของกรมการปกครองก็พบว่าไม่มีประวัติการขอขึ้นทะเบียนจัดตั้ง จึงมีความผิดการตั้งสมาคม โดยไม่มีใบอนุญาต โดยจะปิดสมาคม และดำเนินคดีกับผู้เกี่ยวข้อง ทั้งนี้ รมว.มหาดไทยได้ประสานไปยังผู้ว่าราชการจังหวัดทุกพื้นที่ ให้ตรวจสอบโดยละเอียดอย่างเร่งด่วน

ด้าน พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ เผยนายหยู ซินฉีมีความผิดเกี่ยวกับการฉ้อโกง ซึ่งพบมีผู้เสียหายถูกหลอกร่วมลงทุน ทั้งในอังกฤษและจีน ซึ่งอยู่ระหว่างการติดต่อให้เข้าแจ้งความให้ปากคำ

การแอบอ้างเข้าไปพบบุคคลสำคัญได้ จะต้องมีคนไทยที่เป็นข้าราชการเข้าไปช่วยเหลืออำนวยความสะดวกŽ ต่อมาวันที่ 18 กุมภาพันธ์ เจ้าหน้าที่ได้หมายศาลเจ้าตรวจค้น พบหลักฐานเอกสารสำคัญ รวมถึงภาพถ่ายของนายหยูที่ถ่ายรูปคู่กับบุคคลสำคัญ ตลอดจนหลักฐานการเรี่ยไรเงิน ที่นายหยูนำไปใช้แอบอ้าง

โดย พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ระบุว่า การเปิดสมาคมได้สำหรับคนจีนด้วยกันถือเป็นเรื่องยิ่งใหญ่ทำให้มีหน้ามีตา จากนั้นใช้สมาคมเป็นฉากหน้าสร้างความน่าเชื่อถือให้คนจีนด้วยกัน ก่อนจะมีการถ่ายรูปบุคคลสำคัญ ถ่ายรูปผู้ใหญ่ นำไปใช้กระทำความผิดหลอกคนจีนในไทยเพื่อเรี่ยไรเงิน

พร้อมเตรียมแจ้ง 3 ข้อหาหลัก ประกอบด้วย ความผิดตาม พ.ร.บ.คอมพิวเตอร์ พ.ร.บ.ควบคุมการเรี่ยไร และการตั้งสมาคมเถื่อนหรือจัดตั้งสมาคมโดยไม่มีใบอนุญาต

และเพิกถอนวีซ่า หลังจากดำเนินคดีจะผลักดันออกนอกประเทศ ขึ้นบัญชีแบล็กลิสต์ ห้ามเข้าไทยอีกต่อไป

คุมตัวสอบสวน

กระตือรือร้นขึ้นมาทันใด!
ชูวิทย์ลุยแจ้งเอาผิด ม.112

แต่ก็หยุดไม่ได้เพียงแค่นี้ เมื่อนายชูวิทย์ กมลวิศิษฎ์ จอมแฉที่ถูกระบุว่าเป็นเจ้าของข้อมูลที่นายรังสิมันต์เอาไปอภิปรายในสภา ออกมาเรียกร้องให้ พล.ต.อ.สุรเชษฐ์แจ้งข้อหาตามมาตรา 112 กับนายหยู ซินฉี เพราะมีหลักฐานชัดเจนว่าแอบอ้างเบื้องสูง

นอกจากนี้ ยังแฉซ้ำว่าก่อนหน้านี้นายหยู เดินทางเข้าไทยด้วยวีซ่าท่องเที่ยว แล้วมาแปลงเป็นวีซ่าเกษียณที่ จ.ชลบุรี เหมือนรู้ว่าต้องไปทำที่ไหนถึงจะได้ นอกจากนี้ ยังพบว่ามีการฮั้วกันของเอเย่นต์กับ ตม. จ่ายกันหัวหนึ่ง 2 แสนบาท โดยไม่ต้องไปพบ ตม.เอง การแสดงเงิน 8 แสนบาทในบัญชี ก็โกหกทั้งเพ เพราะเอเย่นต์จะเอาเงิน 8 แสนไปใส่ในบัญชีวันที่แสดงให้ ตม.ดู แล้วถอนออกทันทีหลังเสร็จเรื่อง จึงน่าสงสัยว่าทำไม ตม.ไม่ตรวจสอบเลยว่าฝากมานานหรือยัง

เรื่องนี้บานปลายมาจาก ตม.อีสานที่ช่วยเรื่องตู้ห่าว มาถึงนายหยู ซินฉี ก็ผ่านกระบวนการอันโดดเด่นของ ตม.ทั้งสิ้น ทำให้จีนเทาพาเหรดเข้าเมืองไทยมหาศาล

ต่อมาวันที่ 20 กุมภาพันธ์ นายชูวิทย์เข้าแจ้งความที่ สน.นางเลิ้ง เพื่อให้เอาผิดนายหยู ตามมาตรา 112 และ พ.ร.บ.คอมพิวเตอร์ โดยระบุว่า นายหยูยังนำเรื่องแอบอ้างสถาบันไปอวดอ้างกับชาวจีนให้เกิดความเข้าใจผิด จึงเห็นควรจะแจ้งข้อหาตามกฎหมายอาญา มาตรา 112 กฎหมายข้อนี้เป็นเรื่องละเอียดอ่อน แต่ด้วยพฤติการณ์นายหยูมีความเข้าข่ายความผิดดังกล่าว จึงต้องการแจ้งข้อหานี้เพื่อปกป้องสถาบันหลักของชาวไทย

อีกทั้งระบุว่าพบมีสมาคมต่างๆ ถึง 500-600 กลุ่ม เฉพาะที่ จ.กาญจนบุรี ไม่ทราบว่ากระทรวงมหาดไทยได้ตรวจสอบสมาคมเหล่านี้หรือไม่

ระบุอีกว่า ยังมีกลุ่มชาวจีนที่เปิดสำนักงานทนายความโดยใช้ชื่อชาวไทยบังหน้า มีที่ตั้งย่านพระราม 9 แต่แท้จริงกลับใช้ทนายคนจีน ที่สำคัญยังมีสมาคมเถื่อนของนายไบ๋เจ้า ฮวย มาเฟียแก๊ง 14 เค ของชาวจีนที่มีลักษณะเป็นการซ่องสุมอั้งยี่ มีที่ตั้งสมาคมหงเหมิน ย่านถนนศรีวรา

ต้องติดตามดูความคืบหน้าว่าจะมีบทสรุปอย่างไร!!!