ทรงอย่าง ‘ตู่’ สู้ได้ม้ายย…

(Photo by Lillian SUWANRUMPHA / AFP)

นับเป็นอีกหนึ่งฉากสำคัญการเมืองไทยในทศวรรษนี้ กับการเปิดตัวการเข้าร่วมพรรครวมไทยสร้างชาติอย่างเป็นทางการของ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา จากที่เป็นข่าวลือมา 3 ปีเรื่องพรรคสำรอง วันนี้กลายเป็นจริง ไม่ต้องมีเสียงลือเสียงเล่ากันอีก

ใครจะไปนึกว่า จากผู้นำทหาร ที่ทำการรัฐประหารยึดอำนาจจากผู้นำพลเรือน ผลักดันตัวเองกลายเป็นผู้นำประเทศ ครองอำนาจอยู่บนกลไกการเมือง รัฐธรรมนูญ และราชการที่สลับซับซ้อน จนล่วงเข้าสู่ปีที่ 9 กำลังจะกลายเป็นนายกฯ ที่ครองอำนาจยาวนานที่สุดเป็นอันดับ 3 ในประวัติศาสตร์การเมืองไทย

มาดูที่การจัดงาน ยอมรับว่าภาพจากสื่อออกมาดูยิ่งใหญ่จริง เริ่มตั้งแต่สถานที่ที่เลือกใช้คือศูนย์การประชุมแห่งชาติสิริกิติ์ มีประชาชนเข้าร่วมหลายพันคน ตั้งเวทีกลางขนาดใหญ่ ประชาชนที่มาเข้าร่วมสวมเสื้อนั่งเป็นรูปสีธงชาติ มีระบบไลฟ์สดผ่านออนไลน์ ภาพเสียงคมชัด ยาวนานตั้งแต่เที่ยงวันจนถึงเย็น

เป็นอีเวนต์ที่จัดได้อลังการ ทุกอย่างเป็นไปตามระเบียบเรียบร้อย

 

มีคำถามขึ้นว่า งานนี้คงได้เห็นผู้สนับสนุน พล.อ.ประยุทธ์ตัวเป็นๆ จำนวนมาก เรื่องนี้มีประเด็นน่าสนใจจาก ธนาพล อิ๋วสกุล บรรณาธิการบริหาร สนพ.ฟ้าเดียวกัน ที่ลองเข้าไปร่วมงานนั่งฟังด้วยตัวเอง พร้อมเขียนเล่าเรื่องราวที่พบเจอ ได้เห็นว่าการจัดงานมีการออกแบบอย่างเป็นระบบ ระหว่างนั่งอยู่ก็ถูกคนคุมพื้นที่เชิญออก ไม่สามารถไปนั่งที่ไหนก็ได้ เพราะเป็นพื้นที่ที่ถูกจัดไว้ให้มวลชนนั่ง มีการแจกเสื้อและหมวก

ขณะที่ผู้คนที่เข้าร่วมงานส่วนใหญ่มากับรถทัวร์และรถตู้ โดยรถทัวร์ส่วนใหญ่มาจากจังหวัดชลบุรี และเท่าที่สังเกตแทบไม่เห็นคนรุ่นใหม่ นักศึกษา หรือพนักงานออฟฟิศ

ธนาพลประเมินด้วยตัวเองว่า กลุ่มคนร่วมงานมาจาก 3 ส่วนหลักคือ มวลชนของสุชาติ ชมกลิ่น จากชลบุรี และจากเครือข่ายแรงงานที่สุชาติอุปถัมภ์ในขณะนั่งรัฐมนตรีแรงงาน เพราะดูจากป้าย

อีกส่วนคือมวลชนในกรุงเทพฯ ซึ่งมาจากบรรดาผู้สมัคร ส.ส.ในกรุงเทพฯ เช่น มีป้ายจากบางซื่อ คาดว่าจะมาจากชัช เตาปูน

และส่วนสุดท้ายคือแฟนคลับสายฮาร์ดคอร์ตามเชียร์ พล.อ.ประยุทธ์ ที่ พล.อ.ประยุทธ์จำได้ และถึงกับเอ่ยปากทักบนเวที

แต่สาระสำคัญ หรือในมุมสื่อสมัยใหม่เขาเรียกว่า “คอนเทนต์” ก็คือเรื่องราวที่จะเกิดขึ้นบนเวที ใครที่คาดหวังมากก็อาจจะต้องผิดหวังในระดับที่เรียกว่านักข่าวประจำทำเนียบยังเหนื่อยในการหาประเด็นใหม่ๆ นอกจากเรื่องอยู่ต่อ (ซึ่งใครก็รู้อยู่แล้วว่าจะอยู่ต่อ)

สปีชความยาว 33 นาทีของ พล.อ.ประยุทธ์ แม้จะมีสคริปต์เตรียมมา แต่ก็เป็นดังที่สื่อมวลชนคุ้นชินคือ พล.อ.ประยุทธ์จะไม่พูดตามสคริปต์รวดเดียว แต่จะพูดไปแล้วก็เลี้ยวแวะไปเรื่องอื่น มีการแซว ทักทายคนที่มาร่วมงานต่อเนื่อง แม้กระทั่งกองเชียร์ตะโกนจากด้านล่างเวทีให้ร้องเพลง พล.อ.ประยุทธ์ก็ยังแวะร้องเพลงได้

พูดไปสักพัก พล.อ.ประยุทธ์ก็นำตะโกนว่า “รวมไทยสร้างชาติ” พร้อมหันไปจับมือกับนายพีระพันธุ์ สาลีรัฐวิภาค หัวหน้าพรรค และนายไตรรงค์ สุวรรณคีรี นักการเมืองอาวุโส แกนนำของพรรคอยู่เรื่อยๆ บางครั้งก็ขอให้ด้านล่างจับมือกับคนนั่งข้างๆ แล้วชูมือขึ้นเช่นกัน

หากใครที่ฟัง พล.อ.ประยุทธ์พูดเปิดงานหรือปราศรัยในงานต่างๆ ตลอดเวลาเกือบ 9 ปีที่ผ่านมาบ้าง ก็พบว่าการปราศรัยตลอด 33 นาทีบนเวทีนั้นไม่มีอะไรใหม่เลย มีเพียงเรื่องเดียวคือจำเป็นต้องอยู่ต่อ เพื่อสานงานเก่าที่ทำไว้

พล.อ.ประยุทธ์แทบไม่ได้แตะหรือพูดถึงนโยบายเชิงรูปธรรมใดๆ แต่เป็นการเอาสิ่งที่ พล.อ.ประยุทธ์เคยพูดมาตลอดมาพูดซ้ำ เสมือนมาฟังแนวคิดทางการเมืองของ พล.อ.ประยุทธ์ที่ทุกคนอยู่รู้อยู่แล้ว

หลายอย่างไม่สามารถเรียกได้ว่าเป็นนโยบายด้วย

 

ทดลองนับคำพูดของ พล.อ.ประยุทธ์บนเวที ใน 33 นาที พบว่า พล.อ.ประยุทธ์พูดคำว่า ชาติ 6 ครั้ง ศาสนา 6 ครั้ง สถาบันกษัตริย์ 6 ครั้ง ประชาชน 8 ครั้ง พูดบอกรักทุกคน/รักประชาชน 9 ครั้ง พูดเรื่องซื่อสัตย์สุจริต 3 ครั้ง พูดอ้างอิงถึงความเป็นทหาร 11 ครั้ง พูดบอกรักประเทศไทย 14 ครั้ง และมีการพูดถึงคำว่าประชาธิปไตย 2 ครั้ง

จากถ้อยคำกล่าว จะเห็นว่า พล.อ.ประยุทธ์ยังอยู่ในโลกของทหาร อยู่ในระบบคิดของทหาร ให้น้ำหนักกับวาทกรรมชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์ ท่องคาถา มั่นคง มั่งคั่ง ยั่งยืน อยู่เสมอ

ปัญหาในทางการเมืองก็คือ คำปราศรัยของ พล.อ.ประยุทธ์ ไม่มีเรื่องราวของการมองไปข้างหน้าในอนาคตมากนัก เช่น การบอกว่าจะนำพาประเทศออกจากวิกฤตเศรษฐกิจอย่างไร จะมีการขยับทางนโยบายเศรษฐกิจหรือโครงการทางเศรษฐกิจครั้งใหญ่อย่างไรเพื่อยกระดับหรือสร้างโอกาสทางเศรษฐกิจให้กับคนจำนวนมากได้

คำพูดที่ พล.อ.ประยุทธ์กล่าวถึงประเด็นทางเศรษฐกิจมีเพียงประเด็นการสานต่อสิ่งที่ทำไว้ ซึ่งคนฟังก็คงตั้งคำถามต่อว่า พล.อ.ประยุทธ์ได้โอกาสมาแล้วกว่า 9 ปี มิใช่หรือ

ถ้ามาทรงนี้ เห็นทีจากนี้ทีมประชาสัมพันธ์และทีมนโยบายพรรค คงจะเหนื่อย

 

จะเห็นว่า พล.อ.ประยุทธ์ให้ความสำคัญกับเรื่องความมั่นคง การมีเสถียรภาพทางการเมืองแบบไม่มีความขัดแย้ง เมื่อโจทย์เป็นเช่นนี้ วิธีการของ พล.อ.ประยุทธ์ก็มีเพียงการขอให้คนไทยเป็นหนึ่งเดียวร่วมใจกัน ถ้าฟังบนเวทีจะเห็น พล.อ.ประยุทธ์เฝ้าแต่บอกรัก ทั้งรักทุกคน รักประชาชน ประเทศชาติ มากเป็นสิบๆ ครั้ง สลับกับการบอกว่าตัวเองเป็นคนจริงใจ ตรงไปตรงมาแบบทหาร พร้อมกับทุบอกบ้าง ชี้ไปที่หัวใจบ้าง ชี้ไปที่หัวบ้าง

“ผมเป็นทหารเสือราชินี มีเครื่องหมายเสือสองตัวหัวใจตรงกลาง ถามว่าทำไมหัวใจสีม่วงไม่ใช่สีแดง เพราะผู้บังคับบัญชาต้องมีหัวใจแห่งความซื่อสัตย์ สีม่วงเป็นหัวใจคนใกล้ตายต้องไม่โกหก สุจริต” พล.อ.ประยุทธ์กล่าว

และว่า “ขอฝากหัวใจน้อยๆ ไว้ด้วย และขอสัญญายืนยันจะทำหน้าที่ให้ดีที่สุด เพื่อชาติ ศาสน์ กษัตริย์ และประชาชน สิ่งสำคัญที่สุด ประเทศไทยต้องไปต่อ นอนไม่หลับมาหลายวัน ตัดสินใจไม่ได้ แต่วันนี้นอนหลับแล้ว ทุกคนน่ารัก” พล.อ.ประยุทธ์กล่าวทิ้งท้ายก่อนนำร้องเพลงสรรเสริญพระบารมี

แต่ในช่วงท้าย ชูวิทย์ กมลวิศิษฎ์ ที่กำลังดังจากการออกมาแฉเรื่องทุนจีนสีเทา ไปเปิดโต๊ะที่จุดธูปจุดเทียนระหว่างนายกฯ ไปเปิดตัวพรรครวมไทยสร้างชาติ เพื่อดักรอถามว่าจริงหรือไม่กับเรื่องความสัมพันธ์ของหลานชาย พล.อ.ประยุทธ์ กับตู้ห่าว

ปรากฏว่าตอนหลังนายกฯ ทันเกม เรียกชูวิทย์เข้าไปคุยส่วนตัว 15 นาที

เป็นอันจบเกมได้ดีสำหรับฝั่ง พล.อ.ประยุทธ์

ขณะที่สปีชก่อนหน้า ไม่ว่าจะเป็นไตรรงค์ สุวรรณคีรี ก็มุ่งย้ำการให้ความสำคัญกับชาติ ศาสน์ กษัตริย์ ความสามัคคีของคนในชาติ ต่อสู้กับการเมืองที่มาจากการซื้อเสียง ระบบอุปถัมภ์ และสู้กับต่างชาติที่มักเข้ามาแทรกแซงการเมืองไทย หรือจะเป็นพีระพันธุ์ สาลีรัฐวิภาค ที่ตอกย้ำความสำคัญวาทกรรมชาติ ศาสน์ กษัตริย์เช่นกัน

ในเวลาเดียวกัน พล.อ.ประยุทธ์ก็ใช้อำนาจแต่งตั้งบุคคลแกนนำของพรรครวมไทยสร้างชาติ นั่งเก้าอี้สำคัญในรัฐบาล ไม่ว่าจะเป็นเลขาธิการนายกรัฐมนตรี-ที่ปรึกษานายกรัฐมนตรี อีกหลายตำแหน่ง พร้อมๆ ไปกับช่วงหาเสียงเลือกตั้งที่ใกล้จะมาถึง ซึ่งโดยปกติตามารยาทเขาจะไม่ทำกัน

แต่ว่ากันตรงๆ ทรงนี้ของบิ๊กตู่ก็คุ้นๆ กันดี เพราะก็ทำมาตลอดเกือบ 9 ปี

 

มีความเห็นจากพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ หัวหน้าพรรคก้าวไกล ต่อการเปิดตัวของ พล.อ.ประยุทธ์ ร่วมงานรวมไทยสร้างชาติ ว่า พล.อ.ประยุทธ์ต้องแข่งขันกับนักการเมืองด้วยกันแบบแฟร์เพลย์ ไม่ใช้เทคนิควิธีการหรือช่องโหว่ที่ตัวเองร่างกฎหมายมาเพื่อให้ตัวเองได้เปรียบ ต้องกล้ามาดีเบตตรงไปตรงมา

ขณะที่ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกฯ วิจารณ์แรง บอกเป็นเวทีมีแต่ความอลังการ แต่ไม่มีสาระอะไรเลย

“เวทีเมื่อวาน ผมมองแล้ว เรียกว่าเป็นเวทีที่มีแต่ความอลังการ แต่ไม่มีสาระอะไรเลย นโยบายก็ไม่มี พวกที่ไปยืนอยู่กับท่านก็มีแต่พวก ส.ต. พวก ส.ต.ที่ว่านี่ไม่ใช่พวกสิบตรีนะ แต่หมายถึงพวกสอบตก ยืนเรียงกันเต็มเลย” ทักษิณระบุ

แรงที่สุดเห็นจะเป็นสมชัย ศรีสุทธิยากร ประเมินเลยว่า ในพื้นที่กรุงเทพฯ รวมไทยสร้างชาติจะไม่ได้ ส.ส.เลย

“ถามว่า รวมไทยสร้างชาติในกรุงเทพฯ จะได้เท่าไหร่ บอกเลย 0 แน่นอน…ผมประเมินล่าสุด ดูทุกรายการ นักวิชาการทุกคนพูด ไม่เห็นใครพูดว่ารุ่ง หรือเป็นผลบวกเลย แต่พูดตรงกันว่า แป๊ก ลำบากใจพอสมควร ให้ราคาแน่นอนไม่ถึง 25 ครับ” สมชัยระบุ

ไม่จบแค่นั้น สมชัยยังไปร้อง กกต.ให้วินิจฉัยกรณีมีการขนคน-แจกเสื้อ/หมวก-แสดงดนตรี-ว่าผิดกฎหมายเลือกตั้ง หรือไม่

น่าสนใจว่ารวมไทยสร้างชาติ ภายใต้ธงนำ พล.อ.ประยุทธ์ จะชูนโยบายอะไรเป็นจุดขายที่ชัดเจนกว่านี้

แต่ภาพรวมการแถลงเปิดตัวอย่างยิ่งใหญ่ ด้วยกลไกการเมืองแบบเก่าควบคู่ไปกับอุดมการณ์ ชาติ ศาสน์ กษัตริย์ เป็นการตอกย้ำว่าจุดขายของรวมไทยสร้างชาติวันนี้ คือความเป็นตัวแทนทางการเมืองแบบอนุรักษนิยมในการเลือกตั้งครั้งหน้าที่เข้มข้นกว่าพลังประชารัฐในครั้งก่อน

ถามว่าทรงอย่างนี้จะสู้กับกระแสการอยากเปลี่ยนตัวนายกฯ ได้หรือไม่ ตอบว่าไม่รู้ ประชาชนจะเป็นผู้ตัดสินใจ แต่ถึงวันนี้ก็ต้องนับว่าเป็นคุณูปการของระบบการเมืองแบบประชาธิปไตยเหมือนกัน (แม้จะไม่เต็มใบดี) ที่ทำให้บุคลิก พล.อ.ประยุทธ์แบบในปี 2557 จนถึงวันนี้ 2566 เปลี่ยนไปมากโข อย่าน้อยกล้ายืนต่อหน้าประชาชน ขอคะแนนเสียง

ถ้าจะดีกว่านี้ก็ขอให้ท่านขึ้นเวทีดีเบต กล้าถกเถียง ถ้าพูดคุยแลกเปลี่ยนความเห็น ให้คำสัญญาเรื่องนโยบายตรงไปตรงมา ต่อหน้าสาธารณชนและกับคู่แข่งการเมือง แบบแฟร์ๆ ก็จะดีไม่น้อย

โดยเฉพาะในห้วงที่ประเทศกำลังต่อสู้กับสารพัดปัญหา ทั้งวิกฤตระดับภูมิภาค-ระดับนานาชาติ นายกฯ คนต่อไปจึงมีความสำคัญ

ต้องทรงอย่าแบด ประชาชนจะได้ไม่แซดบ่อย…นะจ๊ะ