หนังสือเรียนสำหรับเด็ก (๑๕๕) | ฟ้า พูลวรลักษณ์

ชาติจีนหากเปรียบเป็นอนุภาคชนิดหนึ่ง ก็เป็นอนุภาคที่มีมวลมาก มีขนาดใหญ่ ดังนั้น จึงเปลี่ยนแปลงได้ยาก แต่เมื่อเปลี่ยนแล้ว ก็จะเกิด Momentum ทำให้หยุดยาก การเคลื่อนไหวมีพลัง ฉันอดคิดต่อไม่ได้ว่า ในโลกนี้ ชาติที่มีมวลขนาดใหญ่ใกล้เคียงกับจีน ก็คืออินเดีย ประชากรก็ใกล้เคียง แต่ทว่า อินเดียกับจีนแตกต่างกันเป็นอันมาก

อินเดียคือประชาธิปไตย

จีนคือคอมมิวนิสต์

หากแยกออกเป็นปัจเจกชน คนจีน คนอินเดีย พูดไม่ได้ว่าใครดีกว่ากัน น่าจะพอๆ กัน ทุกคนมีความเฉลียวฉลาด มีความโง่เขลา มีสิ่งน่ารัก มีสิ่งน่ารังเกียจ

หากแยกออก ชีวิตก็เป็นเช่นนี้เอง น่าพิศวง แต่หากรวมกันเป็นหนึ่งชนชาติ ความแตกต่างนี้มีผล เพียงแต่ฉันไม่อยากฟันธงว่าสิ่งใดดีกว่ากัน

ปัญหาของประเทศไทย ซึ่งเป็นประเทศปานกลาง ปรับตัวได้ง่าย เคลื่อนไหวได้ง่าย แต่วันนี้ คนไทยยังไม่ได้ Modernize อย่างแท้จริงเลย

และหากสังเกตนิสัย คนที่ด้อยพัฒนาจะมีความแค้นล้ำลึก ไม่ยอมให้อภัย ไม่ว่าสถานการณ์จะเปลี่ยนไปยังไง ความแค้นนี้จะมากเกินประมาณ

แม้แต่ตัวฉันทุกวันนี้ ก็ยังมีความด้อยพัฒนา ด้วยเพราะฉันยังมีความแค้น

ประเทศไทยเตรียมเปิดประเทศ เพื่อให้เป็นประเทศท่องเที่ยวอันดับหนึ่งในภูมิภาคแถบนี้ เหมือนที่เคยเป็น

แต่ในอีกภาคหนึ่ง ผู้คนก็หวาดกลัวโควิด ทั้งรัฐและประชาชนล้วนตึงเครียด

ความย้อนแย้งนี้ แสดงออกถึงความด้อยพัฒนา อยู่ไปวันๆ

 

มีคนบอกว่า คนจีนรวมตัวกันไม่ได้ อันนี้ไม่จริง ทุกวันนี้พรรคคอมมิวนิสต์ของจีน รวมตัวกันแข็งแกร่งเป็นอันมาก

เป็นความจริงที่ว่า สิ่งใดที่มีขนาดใหญ่มาก จะรวมตัวกันได้ช้า และเคลื่อนไหวช้า แต่ยามรวมตัวกันได้แล้ว และเคลื่อนไหว ก็จะมีพลังเป็นอันมาก

หากเราศึกษาประวัติศาสตร์ เราจะพบว่าชาติจีนเป็นชาติที่ Modernize ได้ยากที่สุด ได้ช้าที่สุด แต่หากทำแล้ว กลับจะ Modern ที่สุด ด้วยนี้คือชาติแรกที่มีสิทธิจะเป็นชาติเผ่าพันธุ์แมลง ที่มีจิตเป็นดั่งรวงผึ้ง เป็นชาติแรกที่พร้อมจะกลายพันธุ์ ไปสู่ดาวดวงอื่น

นี้คือความแปลกของชนชาวจีน เราจะเห็นตั้งแต่ก่อนนี้ วันที่พวกเขาเป็นกุลีจีน ตามเมืองท่าต่างๆ ตามทางรถไฟ ในตลาด

แต่เราประมาทไม่ได้จริงๆ ครึ่งหนึ่งในดวงจิตของคนจีน คือดวงจิตของคนที่พร้อมจะเป็นทาส หากครึ่งหนึ่งของดวงจิตนี้ชนะ พวกเขาก็จะล้มก่อนไปถึงที่ใดได้

 

ที่ฉันสะเทือนใจ คือประเพณีการรัดเท้า เป็นจารีตที่ให้รัดเท้าของหญิงสาวให้คับแน่น เพื่อมิให้นิ้วเท้างอกขึ้นได้อีก เท้าที่ถูกบีบรัดนั้นจะได้มีสันฐานเรียวเล็กคล้ายดอกบัว เรียกว่า บัวทองสามนิ้ว

ในยุคนี้ ไม่มีอีกแล้ว แต่ฉันเคยเห็นในภาพถ่าย ตกตะลึง เพราะคนรัดเท้าคือคนพิการดีๆ นี่เอง เรียกว่าคนดีๆ ถูกทำให้พิการ เพียงเพื่อตอบสนองตัณหาของผู้ชาย และเป็นตัณหาวิปริต ที่เรียกได้ว่าโรคจิต

แต่ที่น่าตื่นตะลึงคือ มันเป็นประเพณีที่คนจีนทั้งชาติทำกันในทุกชนชั้น ยาวนานถึงหนึ่งพันปี

นี่มันเป็นไปได้อย่างไรกัน เกิดขึ้นได้อย่างไรกัน ห้ามไม่ได้ ห้ามไม่ฟัง ขนาดพระเจ้าคังซีและพระนางซูสีไทเฮา ประกาศห้าม ก็ห้ามไม่อยู่

แสดงว่ารากอันนี้ลึกมากในจิตของคนจีน

อันนี้แหละคือบาปกรรมที่หนักหนา และนี้คือสภาวะโรคจิตของคนจีน

ที่แปลกคือเวลาฉันอ่านประวัติศาสตร์ บ่อยครั้งก็มองไม่เห็น หาไม่เจอ เหมือนมันซ่อนตัว เร้นหายไป แต่ที่จริงมันมีอยู่ เพียงไม่ได้ถูกพูดถึง และบางครั้งก็จงใจมองข้ามไป

การรัดเท้ามาหนักสุดในยุคชิง ซึ่งเป็นยุคที่จิตใจคนจีนต่ำสุดพอดี จิตใจของคนที่พร้อมจะเป็นทาส

การรัดเท้า เริ่มต้นขึ้นในศตวรรษที่ ๑๐ ในสมัยห้าราชวงศ์สิบอาณาจักร และมาได้รับความนิยมในราชวงศ์ซ่ง ตอนเริ่มต้น มันเป็นเพียงความนิยม เหมือนมี Superstar คนหนึ่ง เผอิญเท้าเล็กผิดปกติ แต่สวยงามมาก เป็นที่โปรดปรานของฮ่องเต้ ทำให้มีคนเลียนแบบ เช่นเดียวกับยุคนี้ มีคนเลียนแบบทรงผม เครื่องแต่งกาย หรือสิ่งเล็กๆ น้อยๆ ใดๆ ของ Superstar

มันมาจากจิตของคนที่มีแนวโน้มอยากจะเป็นทาส รู้สึกการได้เป็นทาสช่างเป็นความสุขอย่างบอกไม่ถูก

 

ราชวงศ์ซ่ง (960-1279) เป็นยุคสมัยที่ลัทธิขงจื้อเป็นใหญ่ ยึดเอาแผ่นดินจีนเป็นสวนสนุกของตน

แต่แม้ขงจื้อท่านจะไม่เคยสนับสนุน หรืออยากให้คนจีนต้องมาผูกเท้า แต่ด้วยมนต์ขลังของลัทธินี้ ทำให้สังคมจีนในยุคนั้น ผู้หญิงยิ่งมีสิทธิน้อยลง

ยิ่งสังคมซ่ง เป็นสังคมของคนเที่ยวสนุกไปวันๆ จิตวิญญาณของคนจีนได้กลายเป็นคนแคระ ผิดรูปผิดร่าง เหมือนกับว่าดวงวิญญาณของคนจีนโดนรัดเท้าไปก่อน มันจึงกลายมาเป็นประเพณีรัดเท้าจนได้

เป็นเหมือนเชื้อราที่แทรกเข้าไปในคัมภีร์เก่าแก่ของขงจื้อ เข้าไปแล้วก็ติดแน่น แกะไม่ออก และมีผลต่อผู้หญิงจีนทั่วประเทศ

เริ่มจากชนชั้นสูงก่อน แต่มันลามมาถึงชนชั้นล่างในราชวงศ์ชิง ขนาดฮ่องเต้สั่งห้าม ประชาชนก็ยังฝืน เรียกว่าอยากเป็นทาสเหลือเกิน ห้ามไม่อยู่ มันเคียงคู่กับการสูบฝิ่น สองสันดานทาส

ในครึ่งหลังของราชวงศ์ชิง มีผู้หญิงจีนราว ๕๐% ที่ผูกเท้า สมมุติประชากรจีนมี ๔๐๐ ล้านคน ครึ่งหนึ่งเป็นหญิง คือ ๒๐๐ ล้านคน และครึ่งหนึ่งในนั้นผูกเท้า เท่ากับว่ามีคนผูกเท้า ๑๐๐ ล้านคน

ประเทศแบบนี้ไม่ฉิบหายได้อย่างไร หากไม่ฉิบหาย ความยุติธรรมจะมีอยู่ได้อย่างไรในโลก

๑๐

การรณรงค์ให้เลิกผูกเท้า ทำยากมาก ต้องใช้ความพยายามเป็นอันมาก และกว่าจะทำได้ก็ต้องมาถึงต้นศตวรรษที่ ๒๐ มันยากเท่าการเลิกทาส แต่นี้คือทาส ที่คนทำตัวเอง และทำกับลูกสาวตัวเอง มันเป็นสภาวะจิตที่ดำมืด ลี้ลับเป็นอันมาก

เริ่มจากซ่งที่เต็มใจจะเป็นคนประจบประแจง สอพลอ ต่อมาก็ในชิงยุคสมัยที่เป็นทาสเต็มตัว

 

๑๑

เราต้องระวัง นิสัยทาสอาจเริ่มจากนิสัยคนขี้ประจบ คนตอแหล มันอาจเริ่มจากคนเสเพล คนชอบหมอบคลาน คนไม่สนใจอะไร แต่เมื่อมันฝังรากลึกลงไปแล้ว ก็เหมือนพยาธิที่ร้ายเหลือ ขจัดได้ยาก ในประวัติศาสตร์จีน ยาวนานห้าพันปี มีอย่างน้อยหนึ่งโรคร้ายที่คนจีนเคยเป็น และเป็นนานถึงหนึ่งพันปี

๑๒

เราต้องระวังเช่นกัน เช่น มีการประชุมสมัชชาใหญ่ UN และโหวตลงมติประณามรัสเซีย ฐานผนวก ๔ แคว้นยูเครนเป็นส่วนหนึ่งของดินแดน เสียงประณามคือ ๑๔๓ เสียงต่อ ๕ เสียง และมี ๓๕ เสียงที่งดออกเสียง

ในโลกนี้จะมีกลุ่มที่มีปัญหา คือพวกที่งดออกเสียง ด้วยเหตุผลใดก็ตาม พวกนี้คือพวกที่จะเอาตัวรอดเป็นหลัก หลักการใดเป็นรอง จะเอาตัวเองให้ปลอดภัยไว้ก่อนเป็นยอดดี

แต่กระนั้น แทนที่ชาวโลกส่วนใหญ่ ๑๔๓ เสียงจะงดออกเสียง มันก็ไม่ใช่เช่นนั้น มีถึง ๑๔๓ เสียงที่ออกมาประณาม แสดงว่า ชาวโลกยังยึดในหลักการ

แต่มี ๓๕ ประเทศที่ยึดในการเอาตัวรอด ไทยยังหวังจะได้พลังงานราคาถูกจากรัสเซีย อยากได้มิตรภาพจากจีน จึงเดินตามหลังจีน

ส่วนอินเดียก็ยังต้องการผูกมิตรกับรัสเซีย เอาเป็นพวก เพื่อต่อต้านสหรัฐ

ล้วนเป็นแนวคิดเห็นแก่ตัวทั้งนั้น

ไทยเป็นชาติเล็ก ต้องการเดินตัวลีบในวิกฤติการณ์ ไม่อยากให้ใครมาสนใจ และมีชีวิตไปวันๆ อย่างปลอดภัย หากเกิดสงครามโลก และไทยเป็นกลางได้ ก็จะคุยได้ว่า ชาติของเราเป็นชาติที่เฉลียวฉลาดที่สุดในโลก ซึ่งมันก็อาจเป็นเช่นนั้น เราเป็นตัวกระจอกที่รอดชีวิต

เราเลยกลายเป็นคนเท้าเล็กที่รอดชีวิต ครั้งมองดูเท้าตัวเอง ก็อดพิศวงไม่ได้ว่า ทำไมเราถึงผูกเท้าตัวเราเองมานานถึงหนึ่งพันปี