‘วราวุธ ศิลปอาชา’ เปิดใจ ยังไงก็จะเดินตามกติกา “ใครต่อว่าปลาไหล แสดงว่าไม่รู้จักเราจริง”

สัมภาษณ์พิเศษ

: เบื้องลึก-เบื้องหลังการพบเจอกันของแกนนำพรรคชาติไทยพัฒนา – นายกฯ และ ครม.

จริงๆ ไม่ได้มีอะไรเบื้องลึกเบื้องหลัง จังหวัดสุพรรณบุรีเราอยู่กันมาเหมือนครอบครัวใหญ่ ตั้งแต่สมัยที่คุณพ่อ (นายบรรหาร ศิลปอาชา) ยังมีชีวิตอยู่ เมื่อมีผู้หลักผู้ใหญ่มาที่จังหวัดสุพรรณบุรี ท่านจะให้การต้อนรับด้วยตนเองเสมอ และในวันที่ พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกฯ เดินทางมาที่สถาบันศูนย์วิจัยข้าว ซึ่งตั้งอยู่ตรงข้ามกับสนามกีฬากลางจังหวัดสุพรรณบุรี หลายคนคงทราบว่าผมดำรงตำแหน่งประธานสโมสรสุพรรณบุรีเอฟซี ซึ่งมีสำนักงานอยู่ในนั้น เมื่อนายกฯ เดินทางมาถึงฝั่งตรงข้ามออฟฟิศ ถ้าไม่ไปต้อนรับ จะเสียมารยาท

: การพบกันครั้งนี้สะท้อนนัยยะทางการเมืองหรือไม่?

การที่เราไปต้อนรับครั้งนี้ ไม่ได้มีความเกี่ยวโยงกับพรรคชาติไทยพัฒนา ตัวผมเองเป็นส่วนหนึ่งของครอบครัวศิลปอาชาที่ทำงานเคียงคู่กับพี่น้องสุพรรณบุรี ท่านประภัตร โพธสุธน ทำงานในพื้นที่มาหลายสิบปีกับคุณพ่อ ถือว่าไปในนามตัวแทนพี่น้องเกษตรกรชาวจังหวัดสุพรรณบุรี เป็นเจ้าบ้าน ไม่ได้เคลื่อนไหวทางการเมือง หรือในนามของพรรค

: คนมองว่าเป็นสัญญาณจับมือกับ คสช. ในอนาคต

คนที่จะมอง ก็อยากจะมองแบบที่ตัวเองอยากจะคิด ความจริงที่เกิดขึ้นก็เป็นสิ่งที่ได้ชี้แจงมาให้ฟังมาทั้งหมด การที่แต่ละคนที่จะคิดเห็นแตกต่างก็เป็นสิทธิส่วนบุคคลไม่สามารถไปห้ามได้

ซึ่งถ้าหากคณะของนายกฯ เดินทางไปที่ จ.นครราชสีมา, จ.กาญจนบุรี แล้วพวกผมถ่อสังขารพร้อมคณะแกนนำพรรคตามไปด้วย อย่างนี้สิต้องคิดหนักแล้ว แต่นี่คือมาสุพรรณฯ มาบ้านผม พ่อผมสอนไว้เรื่องแขกไปใครมา ผมก็ทำตามที่พ่อสอน

: คำพูดเชียร์รัฐบาลให้ยาวต่อของแกนนำพรรคส่งผลต่อภาพลักษณ์?

คนที่ชื่อประภัตร โพธสุธน คนที่ชื่อวราวุธ ศิลปอาชา จะพูดอะไร “ไม่ได้เป็นคำพูดของพรรคชาติไทยพัฒนา” พรรคของเราเป็นองค์กรทางการเมืองที่ประกอบด้วยกลุ่มคนจำนวนมาก ฉะนั้น สิ่งที่ท่านพูดไปเป็นในนามส่วนตัว ในฐานะคนคุ้นเคยรู้จักมักจี่กับนายกฯ เป็นความคิดเห็นส่วนตัวบุคคล

ผมยืนยันว่าจากสถานะปัจจุบัน ที่ผมดำรงตำแหน่งเป็นประธานสโมสรฟุตบอล ผมย้ำเสมอว่า “เราจะเล่นตามกติกา” จะทำอะไรก็แล้วแต่ จะแพ้จะชนะ ต้องเล่นกันตามกติกา ฉะนั้น การเมืองที่จะเกิดขึ้นจากนี้ไปกติกาจะเป็นอย่างไร เราก็ชี้แจงชัดเจนว่า “เรายินดีที่จะเดินตามกติกา” รอกฎหมายลูกต่างๆ ออกมา เพราะว่าถ้าหากนักการเมืองไม่ทำตามกติกาแล้ว ผมคิดว่าการเมืองในอนาคตก็คงจะวุ่นวายไม่รู้จบ

ฉะนั้น สิ่งที่ท่านประภัตรพูด คงจะต้องไปสอบถามเจ้าตัวเองว่าท่านมีนัยยะอะไร หรือไม่ หรือท่านมีแนวความคิดอย่างไร

: ที่ผ่านมา คสช. พยายามดิสเครดิตนักการเมือง แต่ภาพที่เห็นคือมาพบกัน?

เป็นเรื่องปกติ อย่าว่าแต่ คสช. เลย ประชาชนอีกหลายคนมองนักการเมืองไม่ดีมาตลอด โดยยืนยันว่าเราต้องไปทำหน้าที่เพื่อปากท้องประชาชน ความเดือดร้อนของชาวไร่ชาวนาต้องได้สะท้อนไปถึงผู้ที่เกี่ยวข้อง จากการลงพื้นที่พบชาวนาพูดคุยแลกเปลี่ยนข้อมูลกัน นี่คือการทำงานของเราจะเป็นกลุ่มอย่างนี้ ใครจะว่าอย่างไรก็สุดแท้แต่ ไม่สามารถไปเปลี่ยนความคิดของคนเหล่านั้นได้

: พรรคจะเดินต่อทางไหน? เห็นด้วยหรือไม่กับการ “อยู่ยาว”

ต้องรอให้ถึงวันที่รัฐบาลและ คสช. เปิดโอกาสให้พรรคการเมืองสามารถทำกิจกรรมได้จึงจะมีการประชุมพรรค ที่ผ่านมาสมาชิกพรรคต่างแยกย้ายกันไปทำกิจกรรมส่วนตัวกันพอสมควร ดังนั้น กาลเวลาเปลี่ยนความคิดคน จะเปลี่ยนสิ่งที่จะตอบวันนี้จะตอบลำบาก จนกว่าจะมานั่งรวมกลุ่มถกคิดประชุมร่วมกัน และออกผลมาในนามมติพรรคได้ว่าจะมีแนวทางไปในทิศทางไหน

ซึ่งเราเป็นเพียงพรรคเล็กๆ มีคนเพียงแค่ก็หยิบมือเดียว เราจะไปตั้งธงเรียกร้องต่างๆ ผมคิดว่าเรายังไม่มีเพาเวอร์มากพอที่จะเรียกร้องอะไรได้ ฉะนั้น สิ่งสำคัญที่เป็นกรอบในการทำงานทางการเมืองของพวกเราทั้งหมด ก็คือกฎหมายลูกทั้งหลายแหล่ ที่เราต้องเดินตามแนวทางโรดแม็ปที่จะออกมาจากนี้ เป็นสิ่งที่จะกำหนดทางเดินของเรา

: ถ้าวันนี้ท่านบรรหารยังอยู่ ท่านจะห่วงหรือพูดอะไรในสถานการณ์เช่นนี้?

เป็นสิ่งคาดเดาได้ลำบาก แม้แต่ตอนท่านยังอยู่เราก็คาดไม่ถึง ว่าการเมืองจะพัฒนาไปในทิศทางไหน แต่สิ่งหนึ่งที่ท่านย้ำอยู่เสมอนั่นคือจะทำอะไรก็แล้วแต่ ต้องยึดถือประโยชน์ประชาชนเป็นหลัก สัจจะคำพูดที่เราได้พูดออกไปแล้ว ต้องยึดมั่นในคำพูดนั้น รวมถึงความกตัญญู ที่ต้องยึดมั่นไว้

: เห็นด้วยไหม “รัฐบาลแห่งชาติ”?

การทำงานของรัฐบาลแห่งชาติคงต้องพิจารณากันให้ดีว่าอุดมคติหรือแนวคิดในการทำงานของแต่ละพรรคการเมืองที่แตกต่างกันมาก พอถึงเวลามารวมตัวกันแล้วมันจะมีความเป็นไปได้มากน้อยแค่ไหน สำคัญที่สุดคือระบบการทำงานของรัฐบาลที่ไม่มีการตรวจสอบ ไร้การถ่วงดุลกันมันจะก่อให้เกิดผลดีต่อประเทศชาติจริงหรือ? ต่างชาติจะยอมรับหรือไม่ พี่น้องประชาชนจะได้ประโยชน์อะไร จากการทำงานแบบนี้ที่มีแต่รัฐบาลฝ่ายเดียว ไม่มีคนค้าน เป็นประเด็นที่จะต้องมาถกคิดกันให้ดีเสียก่อน

: ถ้าวันหนึ่งมีเลือกตั้งและมีนายกฯ คนนอกชื่อ พล.อ.ประยุทธ์ ชวนร่วมรัฐบาล คิดว่าส่วนตัวจะออกความเห็นอย่างไร?

คำถามนี้เกิดจากคำว่า “ถ้า” หมดเลย แล้วถ้าจะตอบ ก็ถ้าจะเป็นเรื่อง ในเมื่อเหตุการณ์มันยังไม่เกิดขึ้น เรายังไม่รู้เลยว่าท่านนายกฯ ประยุทธ์จะเอายังไง ลงสมัครหรือไม่? รอให้ถึงเวลานั้นจริงก่อนค่อยมาตอบคำถามนี้ ถ้าตอบไป มันก็เป็นการ ถ้าจะตอบ ซึ่งตอบไปก็ไม่เกิดประโยชน์ พลันแต่จะเกิดผลเสีย

: พรรคชาติไทยพัฒนา ที่จะมีเจเนอเรชั่นใหม่จำนวนมากในอนาคต จะคงรูปแบบหรือเปลี่ยนแนวทางจากอดีตอย่างไรบ้าง?

ผมเคยพูดไปแล้วว่า พรรคเราคงไม่มีบุคลากรอย่างนายบรรหาร ที่สามารถตัดสินใจเองได้ ถ้าพลาดแก้เองได้ ในวันข้างหน้าจากมุมมองส่วนตัวของผม หากกลุ่มน้องๆ ที่เข้ามาจะเสนอแนวทางหรืออะไรให้ผู้ใหญ่ในพรรค ต้องผ่านการลงมติ มีการประชุมหารือในกลุ่มของสมาชิกว่าจะเอายังไง ถ้าตัดสินใจแล้วทุกคนต้องร่วมกันรับผิดชอบต่อสิ่งที่เกิดขึ้น

ยุคสมัยแห่งการเป็น “วันแมนโชว์” เป็นมังกร เป็นหลงจู๊ ไม่สามารถทำได้แล้ว เพราะเราไม่มีบุคลากรที่มีศักยภาพและความสามารถเท่านายบรรหาร

แต่ผมก็มีความฝันมีและความหวัง พรรคการเมืองจะเป็นที่พึ่งของประชาชนได้อีกครั้ง นักการเมืองต้องเสียสละ คิดถึงนโยบายระยะยาวให้มาก แม้ดอกผลของนโยบายจะไม่เกิดขึ้นทันตาเห็นภายใน 3-4 ปีที่อยู่ในวาระ ผมยังอยากเห็นลูกหลานคนไทยเกิดโตมาในสังคมที่ไม่มีกรอบความคิดว่าไปอยู่เมืองนอกดีกว่า ผมอยากลบแนวคิดนี้ออกไป จะทำอย่างไรให้เด็กเรามีคุณภาพ ไม่ฟุ้งเฟ้อ เคารพกติกา นี่คือความฝันของที่อยากจะทำสังคมไทยให้ดีกว่าวันนี้

ส่วนจุดสูงสุดในชีวิตของผม คือ การที่เกิดเป็นลูกชายคนเดียวของนายบรรหารนายกรัฐมนตรีคนที่ 21 นี่คือที่สุดในชีวิตแล้ว ตำแหน่งอะไรก็ตามไม่ได้มีความหมายในชีวิตการทำงานผมอีก นั่นเป็นเรื่องเล็ก

: อยากเห็นการเลือกตั้งในเร็ววันไหม – อยากเห็นอะไรในการเลือกตั้งครั้งหน้า

สิ่งเหล่านี้เป็นสิ่งที่เหนือการควบคุมของผม สิ่งที่ทำได้ในวันนี้คือการเตรียมตัวเองและพรรคให้พร้อมที่สุด เมื่อถึงวันที่ผู้ที่มีอำนาจจะให้มีการเลือกตั้งเราจะได้มีความพร้อม

: ห่วงไหมมีคนจำนวนหนึ่งมองภาพลักษณ์ของพรรคในแง่ลบ

สิ่งที่คนได้มองพรรคชาติไทยที่ผ่านมา การที่เราได้มีโอกาสรับเชิญเข้าไปเป็นรัฐบาลโดยตลอดมัน แสดงให้เห็นว่าคนที่เป็นแกนนำจัดตั้งรัฐบาล มีความไว้เนื้อเชื่อใจนายบรรหาร เมื่อนายบรรหารรับปากกับใครแล้วก็ไม่เคยแทงคนข้างหลัง เราไม่เคยทิ้งเรือ ยามที่เรือกำลังจะจม เราจะจมไปพร้อมกับเรือ จนกระทั่งมีการเลือกตั้งใหม่ค่อยมาว่ากันใหม่

ส่วนใครที่ว่าเป็นปลาไหล คิดว่าบุคคลเหล่านั้นคงจะไม่มีโอกาสเคยทำงานร่วมกับนายบรรหาร ทุกคนจะรู้ดีว่าคำว่าสัจจะและกตัญญู เป็นสิ่งสำคัญเหนือสิ่งอื่นใด

ฉะนั้น ในอนาคตไม่ว่าจะอยู่ในสถานะใด ถ้าเป็นฝ่ายค้านก็จะเป็นฝ่ายค้านที่มีคุณภาพ เช่นกันถ้าเราเป็นพรรคร่วมรัฐบาลก็ต้องเป็นพรรคร่วมที่กล้าตำหนิหรือเตือนรัฐบาลหากทำไม่ถูกต้อง ต้องฟังเสียงส่วนน้อย ต้องมีสมดุล นี่คือภาพที่ผมอยากจะเห็น