“ข้างหน้า” กับ “ข้างใน” ไม่เหมือนกัน วงการบันเทิงก็ไม่ได้สวยงามอย่างที่คิด! [รายงานพิเศษ]

ปกติ แค่ “คลับฟรายเดย์” แบบธรรมดาๆ ก็มีคนติดตามไม่รู้เท่าไหร่ แต่นี่จีเอ็มเอ็ม 25 มากับ “เซเลบ”ส สตอรี่” นำเรื่องราวในชีวิตของคนดังในวงการบันเทิงมาผูกเป็นเรื่องให้ดูกันผ่านละคร

คิดดู จะขนาดไหน

เรื่องนี้ ฉอด สายทิพย์ มนตรีกุล ณ อยุธยา กับ เอส วรฤทธิ์ ไวยเจียรนัย บอกพลางยิ้มว่า สาเหตุที่จับเรื่องของคนกันเอง คนในวงการมาทำเป็นเรื่อง ทั้งตอน “ความสุข” ซึ่งพูดถึงซุปตาร์ชื่อดังที่เบื่อกับชีวิตที่ต้องใส่หน้ากากจึงหาทางออกด้วยการแอบเสพยาก่อนขึ้นโชว์ตัว ที่กำลังแพร่ภาพ ขณะเดียวกันก็ยังมีอีก 2 ตอนรออยู่ คือ “การกลับมา” และ “การแย่งชิง” ว่า

“มาจากการที่เราได้รู้เรื่องราวของคนในวงการบันเทิงเยอะ รู้ว่าบางทีข้างหน้ากับข้างในมันไม่หมือนกัน”

“วงการนี้เป็นวงการที่ใครมองเห็น ก็คิดว่าสวยงาม แต่จะมีพวกอย่างเราๆ ที่อยู่เบื้องหลัง จะรู้ว่าบางทีมันไม่ได้สวยงามอย่างที่เราคิด คนยิ้มอยู่บนเวที ไม่ได้แปลว่าเขามีความสุข”

Club Friday

“มันก็มีความน่าสนใจ ความน่าสงสารในอีกแบบหนึ่ง ซึ่งไม่น่าเชื่อว่าคนที่ประสบความสำเร็จขนาดนั้น มีทุกอย่าง รูปลักษณ์ หน้าตา ความสามารถ ชื่อเสียง เงินทอง มีทุกอย่างหมดเลย แต่มันดูตลกมากที่เราต้องมาพูดคำว่าน่าสงสาร หรือน่าเห็นใจพวกเขา”

“แต่มันจริงๆ นะที่บางทีเราไม่รู้หรอกว่าข้างในเขามีอะไรอยู่ บางคนเขาอาจจะเบื่อจะตายอยู่แล้ว ไม่ได้อยากจะต้องทำแบบนี้แล้ว อยากจะอยู่เงียบๆ อยู่แบบไม่เจอผู้คน เมื่อไหร่มีความรักต้องมีคนมาถาม มาสนใจ ต้องตอบ เมื่อไหร่อกหักก็มีคนมาถาม แล้วเขาก็ต้องตอบ อกหักแล้วอกหักเล่า ก็ต้องตอบอยู่แบบนั้น เป็นชีวิตอีกแบบหนึ่งที่เหมือนสวยงาม แต่ต้องแลก แลกหลายอย่าง เลยรู้สึกว่าเกิดเป็นแรงบันดาลใจ”

“อยากเอามาทำ เพราะว่าจริงๆ เราน่าจะเป็นผู้เชี่ยวชาญ ในเรื่องเบส ออน ทรู สตอรี่ แต่ไม่ถึงขนาดกับต้องให้รับรู้ว่าเราหยิบมาจากเรื่องของใคร เพราะเรื่องของวงการบันเทิงก็เป็นเรื่องที่เซนซิทีฟอยู่เหมือนกัน ถ้าเกิดรู้ คือบางทีเรื่องของเขาไม่เป็นไร แต่ว่ามันจะเป็นการพาดพิงคนรอบตัว ต่างๆ นานา มันไม่ได้สะเทือนแค่ตัวเขาคนเดียวไง มันสะเทือนคนรอบข้างด้วย”

“ถึงได้บอกว่า เราหยิบมาจากหลายๆ เรื่อง หรือหยิบมาจากเรื่องที่เราคุ้นๆ เห็นอยู่บ่อยๆ ในวงการ เพื่อจะรู้ว่าเรื่องแบบนี้มันมีอยู่”

“ก็แค่ให้รู้ เอ๊ะๆ สงสัย แบบสนุกๆ มากกว่า แต่ไม่ได้มีเจตนาที่จะไปเจาะจงว่าเป็นใคร เพื่อให้เขาเกิดความเสียหาย”

ส่วนถ้าดูแล้วคิดโยงไปถึงใคร “อันนั้นห้ามไม่ได้” เอสบอก

ขณะฉอดว่า “น่าจะเป็นปกติของคนในสมัยนี้ แต่อย่างที่บอก มันไม่สามารถสรุปได้หรอกว่าเป็นใคร”

บอกอีกว่า “สิ่งที่เราอยากให้เกิดขึ้นคือความเข้าใจมากกว่า เข้าใจว่าชีวิตมันไม่ได้สวยงาม สวยหรูหรอก เพราะบางทีเราอาจจะอิจฉาใครต่อใคร ว่าเขามีสิ่งดีๆ เข้ามาในชีวิต”

ในส่วนการนำเสนอที่มีคนสะท้อนว่าออกแนวดุเดือด รุนแรงทั้งคำพูด การแสดงออก และการทำร้ายร่างกายนั้น เอสบอกว่าความจริงทีมงานก็พยายามระมัดระวังอยู่

“มันถูกควบคุมให้เหมาะสมอยู่แล้วสำหรับการออกอากาศ เพียงแต่เราปฏิเสธไม่ได้นะครับ ว่าในความเป็นจริงของครอบครัว มันมีการกระทบกระทั่ง พอเกิดปัญหา ปัญหาอาจจะบานปลายเลยเถิด ถึงเรื่องของการทะเลาะ ใช้กำลัง อยากให้มองว่ามันเป็นส่วนหนึ่ง เป็นอรรถรสของละคร เวลาดูก็เสพเพื่อความบันเทิงและมองหาแง่คิด มากกว่าจะไปดูแบบตั้งใจจะให้มันแซบ รุนแรง เพื่อให้เกิดกระแส กระแสตรงนี้คลับฟรายเดย์ไม่ต้องสร้างแล้ว มันอยู่ได้ด้วยตัวมันเอง กับกระแสที่คนชื่นชอบ”

“ทุกสถานีแหละครับที่น้อมรับนโยบาย รู้กฎกติกาที่ถูกต้อง ว่าทำได้แค่ไหน ไม่ได้ยังไง แต่คิดว่าในวงการสื่อวันนี้กำลังบูรณาการนะ โลกมันหมุนไปข้างหน้าแล้ว เชื่อว่าเดี๋ยวกฎกติกามันจะขยับขยายของมันเอง”

“คือเราเชื่อว่ามันคงไม่มีมั้งที่แบบว่า เดินออกไปเจอคนสูบบุหรี่แล้วอยากดูดตาม” นี่คือความคิดของคนทำ

ส่วนจะมีเรื่องของเขาและเธอที่เพิ่งเป็นประเด็นฮ็อตอยู่หยกๆ แทรกซ่อนอยู่ไหม อันนี้เราว่าเห็นท่าจะต้องหาคำตอบด้วยตัวเอง!!