ที่มา | มติชนสุดสัปดาห์ ฉบับวันที่ 20 - 26 กรกฎาคม 2561 |
---|---|
คอลัมน์ | รายงานพิเศษ |
ผู้เขียน | เจริญชัย ไชยไพบูลย์วงศ์ มหาวิทยาลัยสยาม |
เผยแพร่ |
ความพ่ายแพ้ของโครเอเชีย ทำให้ได้คิดอะไรมากมาย
แม้ว่าทีมชาติฝรั่งเศสจะเป็นผู้กำชัยชนะในฟุตบอลโลกปี 2018 แต่คู่ชิงของเขากลับไม่ใช่ทีมชาติบราซิล เหมือนในปี 1998
นั่นหมายความว่า ทีมฟุตบอลจากประเทศเล็กๆ อย่างโครเอเชีย ก็สามารถมีความฝันและความหวังได้
โลกาภิวัตน์ทำให้ข้อมูลข่าวสารและเทคโนโลยีแพร่กระจายไปทั่วโลก
โครเอเชียจึงสามารถหยิบยืมสิ่งต่างๆ ไปใช้ได้ ทำให้ “ช่องว่าง” ที่เคยเหินห่างระหว่างทีมใหญ่และทีมเล็กหดแคบลง
ประเทศรวยอาจจะมีทรัพยากรมากกว่า มีสิ่งอำนวยความสะดวกและเงินอัดฉีดที่ดีกว่า หากทว่าเมื่อเข้าชิงชัยในสนามฟุตบอล ก็จะถูกบีบให้ใช้ผู้เล่นเพียงแค่ 11 คน ทีมใหญ่อาจมีตัวสำรองให้เลือกเยอะกว่า แต่ก็ส่งเข้ามาเปลี่ยนได้เพียง 3 ครั้งเท่านั้น
สนามฟุตบอลไม่ใช่สนามธุรกิจ
ชาติที่ร่ำรวยกว่า จึงไม่สามารถใช้เงิน ทรัพยากร และคนเก่งๆ ที่มีมากกว่าถาโถมเข้ามาสนับสนุนได้อย่างไร้ขีดจำกัด
หลังจากปี 2018 เราอาจจะได้เห็นทีมเล็กๆ ที่มีความทุ่มเทไม่ย่อท้อ เตรียมตัวและวางแผนมาเป็นอย่างดีได้มีโอกาสเข้าชิงชนะเลิศ หรือแม้กระทั่งได้ครอบครองถ้วยฟุตบอลโลกที่ใฝ่ฝันมานานได้ โดยไม่จำเป็นต้องสยบยอมให้กับความเหนือชั้นกว่าที่ได้รับการผูกขาดโดยทีมใหญ่ๆ ไม่กี่ชาติอีกต่อไปแล้ว
ผมเริ่มชอบโครเอเชียในนัดที่พวกเขาสู้สุดหัวใจกับทีมชาติอังกฤษ แม้จะโดนนำก่อน 1-0 เพียงแค่ 5 นาทีแรก
นี่เป็นเกมที่มหัศจรรย์มาก แสดงถึงหัวใจของคนที่เกิดในประเทศซึ่งถูกปกครองโดยคนอื่นมาโดยตลอด เพิ่งจะได้รับอิสรภาพเมื่อไม่กี่สิบปีที่ผ่านมา ท่ามกลางกองเลือดและน้ำตาแห่งการต่อสู้เพื่อปลดปล่อยตัวเอง
พวกเขาสร้างปาฏิหาริย์ได้สำเร็จ โดยคว้าชัยชนะเหนือทีมชาติอังกฤษ หลังจากพยายามอย่างหนักหน่วงตลอด 120 นาที
ในนัดชิงชนะเลิศ ทุกคนรู้ดีว่า “ฝรั่งเศส” มีขุมกำลังที่เหนือกว่ามากมาย แถมยังมีตัวสำรองไว้ทดแทนได้อีกด้วย
แต่กระนั้น ผมก็ยังเชื่อว่าทีมที่เข้าสู่รอบนี้ ย่อมไม่ธรรมดา โดยประเมินไว้ว่า โครเอเชียด้อยกว่าเพียงแค่ 20%
หากว่าโค้ชของพวกเขาวางแผนได้เหนือกว่าโค้ชฝรั่งเศส 30% ก็อาจจะคว้าชัยชนะได้
ผมอินจัดมาก จึงไปค้นคว้าวิธีการทั้งหลายเพื่อเอาชนะฝรั่งเศสให้ได้ โดยกลับไปศึกษาเทปย้อนหลัง ในวันที่อาร์เจนตินาพ่ายแพ้ให้ฝรั่งเศส แต่ก็สามารถยิงได้ถึง 3 ลูก ทำให้น่าเชื่อว่าจะมีอะไรดีๆ ให้หยิบยืมใช้ได้บ้าง
ข้อสรุปที่ได้รับคือ จะต้องทุ่มทรัพยากรบางส่วนไปจัดการกับเบอร์ 10 ที่ชื่อ Mbappe ให้ได้ โดยนักบอลคนนี้ชอบขึ้นบอลตรงริมเส้น หลังจากสกัดเขาได้ ให้นักเตะโครเอเชียดั้นด้นหาทางพาบอลไปที่ริมเส้นอีกฝั่งหนึ่ง โอกาสสังหารประตูได้จะมีมากขึ้น
สิ่งที่ตลกกว่านั้นคือ ผมมีความหมกมุ่นฝังใจกับความพ่ายแพ้ของจักรพรรดินโปเลียน ซึ่งถูกหลอกให้บุกลึกเข้าไปในดินแดนรัสเซียที่แสนเหน็บหนาว และในที่สุดก็ต้องปราชัยย่อยยับ
เมื่อผนวกรวมกัน ผมก็ได้แผนการคร่าวๆ ในใจ
ขณะเดียวกันผมก็พบเจอข้อความหนึ่งในเว็บไซต์ Pantip ซึ่งน่าจะคิดคล้ายคลึงกัน แต่มีความลึกซึ้งมากกว่า
“ฝรั่งเศสเหนือกว่า แต่ถ้าโครเอเชียรับลึกปิดพื้นที่ของ Mbappe กับ Griezmann ได้ก็ทำอะไรไม่ถนัดละครับ ยิ่งเวลาผ่านไปฝรั่งเศสจะยิ่งหลอนจากนัดชิงยูโรก็จะยิ่งเกร็ง โครเอเชียน่าจะฉวยโอกาสที่เล่นภายใต้ความกดดันมาเยอะเฉือนชนะไปได้ หรืออย่างแย่ก็ยื้อไปดวลจุดโทษ
แต่หากฝรั่งเศสนำซักสองลูกตั้งแต่ครึ่งแรก ความเห็นผมก็จะกลายเป็นเรื่องโจ๊กไปเลย”
—Gelgoog
ตอนนั้นผมเพียงแค่มองว่าเป็น “แผนที่ดีมาก” แต่ก็ยังไม่ตระหนักในความยอดเยี่ยม จึงลืมเลือนไป
จนกระทั่งโครเอเชียพ่ายแพ้ ผมปวดร้าวหัวใจมากมาย ต้องปลอบประโลมตัวเองสักพัก จึงข่มตาหลับได้
ครั้นเมื่อตื่นเช้าขึ้นมา และครุ่นคิดบางประการ จึงค้นพบว่านี่เป็นแผนที่ดีที่สุด โดยอาจต้องปรับปรุงเพิ่มอีกเล็กน้อย ให้เหมาะกับการเดินเกมของฝรั่งเศสที่เน้นตั้งรับเพื่อโต้กลับ และความถนัดของโครเอเชียที่เน้นเกมรุกมากกว่า
โครเอเชียบุกหนักมากในช่วงแรก ฝรั่งเศสตั้งรับได้ดี แต่ดูเหมือนจะตกเป็นรอง โครเอเชียสามารถบุกได้ลึก มีโอกาสดีๆ ให้ได้ลุ้นพอสมควร เมื่อเป็นเช่นนี้ ผมจึงลืมเลือนแผนการของคุณ Gelgoog ไปโดยสนิท และเชื่อมั่นในโค้ชคนนี้
ครั้นเมื่อโดนขึ้นนำ 1-0 ผมก็รู้สึกแย่เพราะเป็นประตูที่ไม่ใสสะอาด เนื่องจากผู้เล่นเบอร์ 7 ของฝรั่งเศส คนที่ชื่อว่า Griezmann ได้เตรียมพุ่งล้มไว้ล่วงหน้าแล้ว พอโดนแตะเบาๆ ก็ล้มลงไปในทันที เขาจึงมีโอกาสยิงฟรีคิก และนำไปสู่การสังหารประตูได้สำเร็จ
อย่างไรก็ตาม โครเอเชียซึ่งมีหัวใจไม่ยอมแพ้ หลังจากเพียรบุกซ้ำแล้วซ้ำเล่า พลิกแพลงทุกแง่มุมที่เป็นไปได้ พวกเขาก็สามารถตีเสมอได้ในเวลาไม่นานนัก
ชะตาฟ้ามักจะกลั่นแกล้งและทดสอบคนดี
โครเอเชียพลาดท่าเสียลูกโทษ และถูกสังหารโดยเบอร์ 7 คนที่ใช้กลโกงในการได้ประตูแรก
หลังจากนั้นโครเอเชียก็บุกหนัก ส่วนผมก็หมกมุ่นใคร่ครวญไปมาถึงประตูที่ไม่ใสสะอาดของผู้เล่นเบอร์ 7 คนนั้น
หากไม่มีประตูนี้ตั้งแต่แรก พวกเขาก็อาจจะยิงได้ทีมละ 1 ลูกเท่ากัน โครเอเชียจึงไม่จำเป็นต้องบุกหนักมากเกินความจำเป็น จนกระทั่งกองหลังรั่ว เปิดโอกาสให้ผู้เล่นเบอร์ 10 นามว่า Mbappe ได้แสดงฝีไม้ลายมืออย่างเต็มที่ จนกระทั่งช่วยกรุยทางไปสู่ประตูที่ 3 และ 4 ในเวลาต่อมา
ยิ่งกว่านั้น การได้ประตูขึ้นนำของฝรั่งเศส ยังช่วยลดแรงกดดันให้พวกเขาได้พอสมควร เพราะหากเกมยังคงเสมอไปได้นานกว่านี้ ภาวะกดดันในนัดชิงชนะเลิศ อาจจะบีบให้พวกเขาผิดพลาดในสิ่งที่ไม่น่าจะเกิดขึ้นได้ ในยามจิตใจปกติสุข
ผมไม่มีวันอภัยให้ความชั่วร้ายของเบอร์ 7 และยังเชื่อมั่นว่า เขาจะรู้สึกผิดไม่มากก็น้อย
แต่ผมก็ยังไม่เห็นวี่แววอันใดบนใบหน้าของเขา
จนกระทั่งได้แชมป์ ผมจึงได้เห็นสีหน้าที่เศร้าสร้อยของเขา ในช่วงที่พูดคุยกับโค้ชของตัวเอง
บางทีเขาอาจแค่ยังรู้สึกหวาดเสียวกับชัยชนะที่ได้มาไม่ง่ายดายนัก และความกดดันที่ต้องเผชิญในช่วงครึ่งแรก หากทว่า ผมก็คิดว่าเขาน่าจะสำนึกผิดแล้ว และสิ่งนี้อาจจะตามหลอกหลอนไปชั่วชีวิต
ในนาทีนั้น ความคั่งแค้นของผมได้สลายไปหมด และรู้สึกเห็นใจเขาอยู่บ้าง
“Griezmann นายควรจะยิ้มและเฉลิมฉลองให้เต็มที่เถิด ทิ้งความผิดพลาดนั้นไว้เบื้องหลัง และเดินหน้าต่อไป ทีมของนายเหนือกว่าจริง และสมควรได้รับสิ่งนี้”
ฟ้ายุติธรรมเสมอ หรือไม่ก็เป็นส่วนใหญ่
ผมลองจินตนาการเล่นๆ หากว่า Griezmann ไม่แกล้งพุ่งล้ม โครเอเชียก็ย่อมมีโอกาสชนะได้มากกว่านี้
แต่โอกาสที่ฝรั่งเศสจะเป็นฝ่ายชนะ ก็ยังคงมากกว่าอยู่ดี เพราะผู้เล่นของฝรั่งเศสเหนือชั้นกว่าจริงๆ แม้ว่าโครเอเชียจะดูดีกว่าในช่วงแรก ก่อนจะเสียประตู
ยิ่งกว่านั้น เมื่อครุ่นคิดเพิ่มเติมก็กลับพบว่า โค้ชของโครเอเชียนั้นยังวางแผนได้ไม่ดีนัก
แม้จะโดนนำ 2-1 แต่ก็ยังเหลือเวลาอีกมากมาย โครเอเชียจึงไม่ควรโหมบุก โดยเปิดแนวหลังไว้อย่างโล่งโจ้งขนาดนี้
โดยเฉพาะเมื่อคู่แข่งมีผู้เล่นระดับมือสังหารที่มีศักยภาพสูงอย่างเบอร์ 10 คอยจ้องหาโอกาสอยู่ตลอดเวลา
โครเอเชียควรจะแบ่งกองหลังไว้บางส่วน เพื่อตามประกบและจัดการกับเบอร์ 10 ไม่ให้แผลงฤทธิ์ได้ ยิ่งเวลาผ่านไป โครเอเชียย่อมกดดันที่ตามอยู่ 1 ลูก แต่พวกเขาก็เต็มไปด้วยผู้เล่นเก๋าประสบการณ์ ผ่านร้อนผ่านหนาวมามาก จึงน่าจะรับไว้ได้
ขณะที่ฝรั่งเศสนั้น ส่วนใหญ่เป็นนักเตะหนุ่ม แม้ว่าจะผ่านเกมระดับโลกมาแล้วพอสมควร ก็ยังมีจิตวิทยาแบบคนหนุ่มซึ่งย่อมพลุ่งพล่านใจและวิตกกังวลได้ง่ายกว่า ที่สำคัญพวกเขายังเป็นผู้เล่นที่มีความสามารถมากกว่าโครเอเชีย จึงย่อมไม่อยากให้โดนตีเสมอ และต้องไปดวลจุดโทษกัน ซึ่งในตอนนั้นโอกาสชนะจะเหลือเพียง 50% เท่านั้น
“พวกเขาพลาดไม่ได้” นี่จึงเป็นปมทางจิตวิทยาที่สำคัญยิ่ง และอาจเป็นจุดอ่อนเดียวของทีมชาติฝรั่งเศส ซึ่งน่าเสียดายที่โค้ชของโครเอเชียไม่หยิบยกมาเล่นงานและขยายผลให้ดี
ความพ่ายแพ้ของโครเอเชีย จึงน่าจะเป็นสิ่งที่เหมาะสมแล้ว เพราะแม้พวกเขาจะมีใจมุ่งมั่น 120% วิ่งไล่ลูกจนถึงนาทีสุดท้าย ที่สำคัญ พวกเขายังสามารถยิงได้อีก 1 ลูก จากความพลั้งเผลอของผู้รักษาประตูฝรั่งเศส และการดิ้นรนฉกฉวยทุกโอกาสที่ผ่านเข้ามาของผู้เล่นโครเอเชีย
แต่กระนั้น ชัยชนะยังต้องการอะไรมากกว่าความทุ่มเทถวายชีวิต นั่นคือ ความสามารถเฉพาะตัวของนักเตะ
ซึ่งโครเอเชียก็ต้องยอมรับว่าด้อยกว่า ขณะเดียวกันพวกเขายังวางแผนรับมือกับสถานการณ์ต่างๆ ได้ไม่ยอดเยี่ยมเพียงพอ
การส่งแรงใจเชียร์ทีมรองที่เต็มไปด้วยหัวใจนักสู้ของผมในครั้งนี้ แม้จะทำให้ต้องปวดร้าว เพราะความพ่ายแพ้ที่แสนชอกช้ำ โดยเฉพาะเมื่อเกิดการเล่นตุกติกเล็กๆ ของผู้เล่นฝรั่งเศส ที่ส่งผลกระทบต่อเกมอย่างมีนัยสำคัญ ก็ยิ่งซ้ำเติมความกังขาในใจเข้าไปอีก แต่กระนั้นมันก็ทำให้ผมได้ค้นพบอะไรมากมาย เป็นการตอบแทน
การอภัยให้กับความผิดเล็กๆ ที่ผ่านไปแล้วของใครบางคน และตัดสินใจเดินหน้าต่อไปเป็นสิ่งที่พึงกระทำ เพราะโลกนี้อาจมีความอยุติธรรมในบางเวลา แต่ขอเพียงเราตั้งใจทำให้ดีที่สุด ก็ย่อมได้รับผลดีคืนกลับมาไม่มากก็น้อย
โครเอเชียได้เป็นรองแชมป์ แม้จะเจ็บปวดเพียงใด ก็ได้เงินรางวัลไปมากกว่า 900 ล้านบาท ยังไม่นับผลประโยชน์โดยอ้อมอื่นๆ ที่อาจจะตามมาด้วย
ที่สำคัญกว่านั้น ผมยังได้มองเห็นกลยุทธ์ในการต่อสู้ชีวิตอย่างกระจ่างชัดขึ้น นั่นคือ เราไม่ควรกระทำสิ่งต่างๆ ที่เหมาะสมกับความถนัดของเราแบบ 100% แต่จะต้องยืดหยุ่นและปรับตัวให้เข้ากับสถานการณ์ได้ด้วย โดยอาจใช้สูตรความถนัด 70% และการพลิกเปลี่ยนให้เหมาะสมกับคู่แข่งหรือลูกค้า 30%
หากทำเช่นนี้ได้ ความทุ่มเทแบบถวายชีวิตที่ทีมชาติโครเอเชียได้สร้างแรงบันดาลใจไว้ ก็จะเปล่งประกายและคมกล้ายิ่งกว่าเดิม
ผมก็ได้แต่หวังว่า พวกเขาจะสรุปบทเรียนและข้อผิดพลาดให้ดี เพื่อจะกลับมาชิงชนะเลิศได้ใหม่ในอีกหลายปีข้างหน้า แม้ว่านักเตะและโค้ชอาจจะเป็นชุดใหม่แล้ว
สิ่งที่เหนือล้ำกว่าชัยชนะและความพ่ายแพ้ในเกมนี้ ก็คือน้ำใจแห่งความเป็นมนุษย์ของทั้งสองทีม โดยเฉพาะการเข้ามาปลอบโยนคู่แข่งของนักเตะฝรั่งเศสบางคน
รวมไปถึงการพูดคุยอย่างเนิ่นนานพอควรของท่านประธานาธิบดีมาครงของฝรั่งเศส ที่มีต่อนักเตะโครเอเชีย
ซึ่งผมเชื่อมั่นว่าน่าจะมีคำปลอบโยนและชื่นชมอยู่ในนั้นด้วย