‘พล.อ.อ.สุกำพล สุวรรณทัต’กับเรื่องเพื่อนชื่อ ‘ทักษิณ’ ว่ากันว่าเขาคนนี้นิสัยเหมือน ‘บิ๊กตู่’

หมายเหตุ : บทสัมภาษณ์นี้เผยแพร่ครั้งแรกในมติชนสุดสัปดาห์ฉบับวันที่ 03 มีนาคม พ.ศ. 2555

พล.อ.อ.สุกำพล จบการศึกษาจากโรงเรียนสาธิตจุฬา ลงกรณ์มหาวิทยาลัย รุ่นที่ 4, โรงเรียนเตรียมทหาร รุ่นที่ 10 (ตท.10) โรงเรียนนายเรืออากาศ รุ่นที่ 17, โรงเรียนนายทหารชั้นผู้บังคับฝูง รุ่นที่ 45, โรงเรียนเสนาธิการทหารอากาศ รุ่นที่ 29, วิทยาลัยการทัพอากาศ รุ่นที่ 29, วิทยาลัยป้องกันราชอาณาจักร รุ่นที่ 46

ที่น่าสนใจคือ “พล.อ.อ.สุกำพล” นอกจากจะเป็นเพื่อนร่วมรุ่น ตท.10 กับ “พ.ต.ท.ทักษิณ” แล้ว ยังมีสายสัมพันธ์อันดีกับ คุณหญิงพจมาน ณ ป้อมเพชร์ อดีตภริยา พ.ต.ท.ทักษิณ อีกด้วย

ก่อนเกิดเหตุปฏิวัติ 19 กันยายน 2549 “พล.อ.อ.สุกำพล” ครองตำแหน่งเป็นผู้ช่วยผู้บัญชาการทหารอากาศ และถูกวางตัวจาก “รัฐบาลไทยรักไทย” ให้ขึ้นรับตำแหน่ง “ผู้บัญชาการทหารอากาศ (ผบ.ทอ.)” ต่อจาก พล.อ.อ.ชลิต พุกผาสุข ไว้แล้ว

แต่ผลพวงจากการปฏิวัตินั้น ส่งผลรุนแรงถึงขั้นทำให้เก้าอี้ “ผบ.ทอ.” ของ “พล.อ.อ.สุกำพล” ต้องหลุดลอยไปในพริบตา พร้อมทั้งถูกย้ายเข้ากรุมาเป็นผู้ทรงคุณวุฒิพิเศษ ทอ.ปี 2550 ก่อนถูกย้ายข้ามห้วยกระเด็นกระดอนออกจากทุ่งดอนเมือง มาดองเค็มในเก้าอี้ “จเรทหารทั่วไป” กระทรวงกลาโหม ช่วงปี 2551

เมื่อวันที่ 5 สิงหาคม 2554 พล.อ.อ. สุกำพล ตัดสินใจลาออกจากราชการ เพื่อเข้ารับตำแหน่ง “รมว.คมนาคม” ในรัฐบาล น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ตามคำเชิญของแกนนำพรรคเพื่อไทยคนหนึ่ง  ที่เจ้าตัวเฉลยแล้วว่า “ไม่ใช่” พ.ต.ท.ทักษิณ

“ผมเป็นคนที่ดีก็ดีใจหาย แต่ถ้าไม่ดีก็…อีกเรื่องหนึ่ง”

เป็นประโยคหนึ่งของ พล.อ.อ.สุกำพล ที่หลายคนบอกว่ามีบุคลิกคล้ายกับ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ผู้บัญชาการทหารบก

“แต่ตอนนี้อายุมากขึ้นแล้ว สุขุมขึ้น”

“บิ๊กโอ๋” ซึ่งได้ชื่อว่าเป็นคนถึงลูกถึงคนคนหนึ่งออกตัวในประโยคต่อมา

ในการปรับคณะรัฐมนตรีครั้งล่าสุด น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร โยก พล.อ.อ.สุกำพล จากกระทรวงคมนาคมมานั่งเก้าอี้ร้อนตัวนี้

และปรับ พล.อ.ยุทธศักดิ์ ศศิประภา รัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม เป็นรองนายกรัฐมนตรี

ทันทีที่ชื่อ “บิ๊กโอ๋” โผล่ขึ้นมา อุณหภูมิในกองทัพก็ร้อนระอุขึ้นมาทันที เพราะทหารด้วยกันย่อมรู้ประวัติของนายทหารอากาศผู้นี้เป็นอย่างไร

โดยเฉพาะ พล.อ.อ.อิทธพร ศุภวงศ์ ผู้บัญชาการทหารอากาศ ที่เคยเป็นผู้ใต้บังคับบัญชา พล.อ.อ.สุกำพล ก่อนจะกระโดดข้ามหัวขึ้นมาหลังการรัฐประหาร 19 กันยายน 2549

แต่ล่าสุดในการตรวจเยี่ยม 3 เหล่าทัพ พล.อ.อ.สุกำพล มั่นใจว่า “ไม่มีปัญหา”

“ผมบอก ผบ.ทบ. และผู้บัญชาการเหล่าทัพทุกคนว่าเราจะอยู่อย่างพี่น้อง เวลาจะเป็นเครื่องพิสูจน์ เพราะใครๆ ก็พูดได้ว่า ผมรักคุณก็พูดได้ แต่เรื่องนี้มันเป็นเรื่องใจ ลูกผู้ชายมันเห็นกันอยู่”

เมื่อถามว่าเคยคุยกันตรงๆ เป็นการส่วนตัวกับ พล.อ.ประยุทธ์ แบบนี้หรือไม่

“ตู่บอกว่าผมเต็มที่ เรียกผมเมื่อไรเรียกได้เลย ผมแฮปปี้ที่ทำงานกับพี่”

มีคนบอกว่า 2 คนนี้คล้ายกันมาก

“มีคนพูดกันเยอะ ผมกับตู่ไม่ต้องพูดกันมาก นิสัยเหมือนกัน
คุย 2 คำก็รู้เรื่อง ไม่ได้จีบกันสักหน่อย”

พล.อ.อ.สุกำพล เป็นคนอารมณ์ดี หัวเราะเก่ง และเป็น “รัฐมนตรี” ที่ใช้ “รถนำ” น้อยมาก

“ตอนอยู่กระทรวงคมนาคม เวลากลับบ้าน พอรถมาถึงทางด่วนดอนเมืองโทลล์เวย์ ผมสั่งให้รถนำขบวนกลับได้เลย เพราะทางโล่งแล้ว แต่มาอยู่กระทรวงกลาโหม เขาไม่ยอม บอกว่าต้องส่งให้ถึงบ้าน”

แต่วันที่นัดสัมภาษณ์ที่ร้านอาหารซึ่งถือเป็น “นัดส่วนตัว” เขามาอย่างเรียบง่ายกับคนขับรถเพียงคนเดียว

ไม่มีรถนำขบวน

แม้จะเป็นคนอารมณ์ดี แต่ทันทีที่ถามถึง “ประวัติศาสตร์ส่วนตัว” หลังเหตุการณ์ 19 กันยายน 2549

ดวงตาของเขาเปลี่ยนไป

มีแววแห่งความเจ็บปวดให้เห็นอย่างชัดเจน

ถามว่าเจ็บปวดไหม

“ใครบอกว่าไม่เจ็บ โกหกแน่นอน วันแรกที่โดน ผมเป็นเสนาธิการทหารอากาศ เป็นหัวหน้าศูนย์ แต่บางห้องผมกลับเข้าไม่ได้”

จากนั้นเขาได้เลื่อนตำแหน่งเป็นผู้ช่วยผู้บัญชาการทหารอากาศ

เหมือนยศสูงขึ้น แต่ “ลอย”

อีก 6 เดือน พล.อ.อ.สุกำพล ถูกเตะโด่งเข้ากรุ “ประจำ”

“เราอยู่ใน 5 เสือ ทอ. แต่ถูกประจำ แค่ช่วงเดือนเดียวพลิกกลับเลย จากนั่งหัวโต๊ะมานั่งข้างๆ ทหารมีศักดิ์ศรี หลายคนมองผมด้วยความสงสารบ้าง อะไรบ้าง”

“ผมก็จำไว้ เป็นประวัติศาสตร์ส่วนตัวของผม”

ถามว่ารู้สึกอย่างไรกับการเป็น “ผู้แพ้” ในวันนั้น

“ก็รู้สึกว่าเป็นผู้แพ้ จบ…”

แล้วตอนนี้ที่กลับมาเป็น “ผู้ชนะ”

“ผมคิดว่าอย่าใช้คำว่าแพ้หรือชนะเลย เสมอดีกว่า”

เสียงหัวเราะของ “บิ๊กโอ๋” กลับมาอีกครั้ง

“ถึงเวลาที่เราต้องเดินหน้าแล้ว เรื่องนี้ไม่ใช่เรื่องของคน 2 คน แต่ยังมีสังคม ประเทศชาติที่ต้องการการปรองดอง”

“ประวัติศาสตร์ส่วนตัว” บทนี้ พล.อ.อ.สุกำพล ยืนยันว่าเป็นเพียง “ความทรงจำ” ที่ไม่มีผลต่อ “ปัจจุบัน”

“ไม่เคยกลับไปคิดเลย ถามมาก็คิดที ไม่ได้คิดทุกวัน”

และ “เมื่อมาอยู่ตรงนี้ เราไม่ควรเอาเรื่องเก่ามาเป็นประเด็น ไม่เช่นนั้นจะอยู่กันไม่ได้”

พล.อ.อ.สุกำพล เชื่อมั่นในสัญญาณการปรองดองที่เริ่มต้นจากการเดินทางไปฟัง “ออเคสตรา” ของ พล.อ.เปรม ติณสูลานนท์ ที่ทำเนียบรัฐบาล

“มันมีรีเฟล็กต์ที่เห็นชัด”

และถ้ายังคงรักษาบรรยากาศเช่นนี้อย่างต่อเนื่อง เขาเชื่อว่า “ความเชื่อมั่น” จะเกิดขึ้นอย่างแน่นอน

“สงกรานต์นี้ผมก็จะเข้าไปรดน้ำอวยพรป๋า”

เขาเล่าว่าเพื่อนผมคนหนึ่งเป็นลูกป๋ายังบอกเลยว่าป๋าเคยถามถึงว่าสุกำพลเป็นอย่างไรบ้าง

แต่เมื่อถามถึงโอกาสที่จะเกิดรัฐประหาร

“ต่อให้ 0.0001% ก็ถือว่าเป็นโอกาส แต่ถ้าสถานการณ์แบบวันนี้ ไม่มี”

เขาตอบอย่างมั่นใจ

ถามว่าทำไมจึงยืนหยัดคู่กับ “เพื่อน” ชื่อ “ทักษิณ ชินวัตร” มาตลอด

“ถ้าเขาเป็นโจรจริงๆ ผมไม่อยู่กับเขาหรอก แต่การปฏิวัติครั้งที่ผ่านมาก็ชัดเจนว่าเขาไม่มีอะไรผิด มีเรื่องเดียวที่น่าเกลียดมากคือเซ็นชื่อให้ภรรยาแล้วโดน สังคมก็รู้”

“เรื่องล้มล้างสถาบันก็เหมือนกัน ผมรู้จักเขาดี ไม่มีทางที่นายกฯ ทักษิณ จะทำเช่นนั้น ไม่มีหรอก เรื่องแบบนี้เป็นเรื่องใหญ่ ความลับต้องหลุดมาแน่นอน แต่ไม่เคยมีการแอะเรื่องนี้สักนิด เราเรียนด้วยกันมา เขาสอนกันมา วันนี้นายกฯ ทักษิณก็ยังเคารพสถาบันเหมือนเดิม”

พล.อ.อ.สุกำพล บอกว่าเมื่อ พ.ต.ท.ทักษิณ ไม่ได้เป็นอย่างที่ถูกกล่าวหา ตัวเขาจะเปลี่ยนได้อย่างไร

“คนเราเกิดมาชีวิตหนึ่งต้องมั่นคง ผมบอกภรรยาว่าเป็นไรเป็นกันนะ แต่เราต้องยืนหยัดอยู่ตรงนี้”

เขาสรุปว่ายิ่งนานวัน ยิ่งเชื่อว่าเขายืนอยู่ในจุดที่ถูกต้องแล้ว

“ผมไม่เคยขอนายกฯ ทักษิณ ว่าจะเป็นอะไร สมาชิกพรรคก็ไม่ได้สมัคร ท่านนายกฯ ปู บอกก่อนนิดหน่อยก็มาเป็นเลย”

ถามว่าเคยเจอกับ พล.อ.อนุพงษ์ เผ่าจินดา อดีตผู้บัญชาการทหารบก ซึ่งเป็นเพื่อนร่วมรุ่นหรือไม่

“ป๊อกกับผมเป็นเพื่อนกัน รุ่นพ่อก็รุ่นเดียวกัน รู้จักกันตั้งแต่พ่อไปงาน ตอนนี้เจอกันก็ทักทายกัน แต่เรื่องนี้อย่าพูดกัน”

“เคยพูด พูดแล้วมัน…” เขาลากเสียง แต่ไม่มีคำต่อท้าย

. “อย่าพูดกันเลยดีกว่า รู้ในใจกันอยู่”

พล.อ.อ.สุกำพล บอกว่าคนอายุ 60 แล้วมันพูดยาก

“ที่บอกว่าไม้แก่ดัดยาก เรื่องจริง พอถึงเวลาแล้ว…จริงโว้ย”

เสียงหัวเราะดังขึ้นอีกครั้ง

“คิดว่าคุณทักษิณจะได้กลับเมืองไทยไหม”

เป็นคำถามสุดท้าย

“ได้แน่”

เขาตอบสวนทันทีด้วยเสียงแสดงความมั่นใจ

ไม่มีเสียงหัวเราะ

มีแต่ความจริงจัง และจริงใจ

แบบ “เพื่อนตาย”