“ณัฏฐิกา วรธันยวิชญ์” 1 ใน 8 แอดมินเพจ ผู้เลือกลี้ภัย แทนที่ถูกขังเพราะ “ล้อเลียน”

เรือนจำไทยสำหรับ น.ส.ณัฏฐิกา วรธันยวิชญ์ หรือ “นัท” อดีตนักการตลาดดิจิตอลอิสระ วัย 44 ปี คือ “นรก” เมื่อเธอต้องโทษและอยู่หลังลูกกรงเมื่อปี 2559 เช่นเดียวกับเพื่อนๆอีก 7 คน จากการทำเพจเฟซบุ๊กล้อเลียน คสช. จนทำให้เจ้าหน้าที่ความมั่นคงยกกำลังบุกรวบตัวถึงบ้าน และเปลี่ยนชีวิตของเธอแบบที่กลับไปเป็นเหมือนเดิมไมไ่ด้แล้ว

ณัฏฐิกาเล่าว่า “สภาพความเป็นอยู่ในเรือนจำนั้นเลวร้าย สกปรก เต็มไปด้วยเชื้อโรคและขาดสุขอนามัย ผู้ต้องขังบางคนต้องพึ่งยาแก้ซึมเศร้า บางคนเอาหัวโขกกับกำแพง หรือทุกข์ทนจากภาวะเสียสติ

ราวกับเป็นนรกดีๆ ไม่สามารถบอกกับแม่ในตอนนั้นได้ เพราะไม่อยากให้เธอทุกข์ใจ

 

ณัฏฐิกาตกเป็นข่าวดัง จากการที่เป็นหนึ่งใน 8 แอดมินเพจ “เรารัก พล.อ.ประยุทธ์” ซึ่งทำเนื้อหาเชิงล้อเลียน วิพากษ์วิจารณ์พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและหัวหน้าคณะรักษาความมั่นคงแห่งชาติหรือ คสช. ถูกกองทัพควบคุมตัวไว้ที่ มทบ.11 ก่อนถูกกล่าวหาว่ามีความผิดฐานปลุกปั่น ตามมาตรา 116 ไม่นานหลังถูกปล่อยตัว ตร.กองปราบได้อายัดตัวพร้อมกับ นายหฤษฎ์ มหาทน นักเขียนนิยาย เพื่อดำเนินคดีในความผิดตามมาตรา 112 จนถูกฝากขังเป็นเวลากว่า 2 เดือน และทั้งคู่ได้รับการปล่อยตัวชั่วคราวและขึ้นศาลทหารตามนัดทุกครั้ง

แต่แล้วในวันนี้ สิ่งที่เพื่อนๆหลายคนไม่ทราบนั้นคือ ณัฏฐิกาได้เดินทางออกนอกประเทศไปอยู่ที่สหรัฐอเมริกาแล้ว และดำเนินขอสถานะผู้ลี้ภัยทางการเมือง

ณัฏฐิกากล่าวว่า หลังจากเดินทางออกไปแล้ว เริ่มกังวลหลายอย่าง ไม่อยากปิดบังความจริงว่า เราไม่ได้อยู่ในไทยแล้ว

ไม่ใช่เพราะว่ากลัว แต่มันส่งผลกับเพื่อนๆทุกคนในไทย และสำหรับตัวเอง มันเป็นไปไม่ได้แล้วที่จะใช้ชีวิตในไทยเหมือนปกติ

 

ณัฏฐิกาได้เล่าย้อนวันที่ถูกจับว่า มันเกิดขึ้นในตอนเช้าของวันที่ 27 เมษายน 2559 เจ้าหน้าที่ทหารและตำรวจในเครื่องแบบกว่า 20 นาย บุกจู่โจมเข้าบ้านที่เธออาศัยอยู่กับแม่เพียง 2 คน

ชายคนหนึ่งได้เรียกเพื่อนบ้านของเธอมาและชี้ให้ดูว่าเธอถูกจับและถูกทำให้รู้สึกอับอาย เพียงเพราะว่าเธอกับเพื่อนๆทำเพจล้อเลียน พล.อ.ประยุทธ์

ในช่วงถูกพาตัวไปคุมขัง ณัฏฐิกาถูกเจ้าหน้าที่กดดันให้เปิดพาสเวิร์ดเฟซบุ๊กเพื่อเข้าดูเพจล้อเลียนที่เธอเป็นแอดมิน ก่อนที่เธอและเพื่อนๆจะถูกตั้งข้อหา โดยเธอกล่าวว่า ไม่มีทางเลือก

อีกทั้งในสำนวนคดีของเธอ เจ้าหน้าที่ระบุว่า เธอรู้จักกับนายพานทองแท้ ชินวัตร บุตรชายของนายทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี แต่เธอปฏิเสธหลายครั้งว่าไม่ได้รู้จัก

ในช่วงที่อยู่ในเรือนจำนั้น ณัฏฐิกาเปิดเผยว่า จากสภาพที่ต้องอยู่เป็นสัปดาห์ ผ่านไปเป็นเดือนโดยไม่มีความคาดหวังว่าจะได้รับการประกันตัว เธอเคยบอกกับแม่ว่า อยากจะฆ่าตัวตายเพื่อประท้วงแทนที่จะต้องทนอยู่ในสภาพเช่นนี้โดยไม่รู้ชะตากรรม แต่แม่เธอตอบว่า หากเธอตาย แม่ก็คงตายตามด้วย

ณัฏฐิกาได้รับการประกันตัวหลังถูกขังอยู่ในเรือนจำถึง 71 วัน และมั่นใจว่าจะต้องถูกตั้งข้อหาในศาลทหารที่พิจารณาคดีและอาจต้องรับโทษจำคุกถึง 20 ปี

แต่ในที่สุด ณัฏฐิกาได้บอกกับแม่ว่า อย่างน้อยเราได้เห็นหน้ากันผ่านกล้องหน้าจอ ดีกว่าเจอหน้ากันผ่านลูกกรง

 

หลังจากใช้เวลารวบรวมข้อมูลและวางแผนอยู่พักหนึ่ง ณัฏฐิกาได้พาสปอร์ตใหม่กับวีซ่านักท่องเที่ยว และออกเดินทางไปสหรัฐฯเมื่อปีที่แล้ว โดยเธอขออนุญาตกับศาลทหารว่าจะออกเดินทางไปสิงคโปร์ เมื่อถึงสนามบินชางยี เธอได้บินต่อจนถึงนครลอส แองเจอลิสของสหรัฐฯเมื่อวันที่ 18 สิงหาคมปีที่แล้ว นับว่าเกือบ 5 เดือนแล้วที่ณัฏฐิกาบินไปอย่างเงียบๆ แม้ว่านักกิจกรรมบางคนจะวิจารณ์เธอว่าหนีการประกันตัว แต่เธอกล่าวว่า มันคงเรื่องยากสำหรับคนอื่น ระหว่างได้อิสรภาพชั่วคราวหรือได้รับอนุญาตเดินทางไปต่างประเทศ

ณัฏฐิกาเล่าต่อว่า คำถามเกิดขึ้นตลอดว่าสิ่งที่ทำนี้เป็นการเห็นแก่ตัวหรือไม่ แต่ถ้าหากอยู่ไทยต่อ ก็จะต้องตกอยู่ภาวะซึมเศร้าและหวาดกลัวเมื่อต้องขึ้นศาล ไม่สามารถมีชีวิตตามปกติได้อีกแล้ว คนที่เคยถูกขังล้วนมีหัวจิตหัวใจ ใครที่ไม่เคยเจอประสบการณ์แบบนั้นก็คงไม่รู้ว่ามันเป็นยังไง

ทั้งนี้ ณัฏฐิกากล่าวว่า มันไม่ง่ายเลยที่จะต้องตัดสินใจเดินทางออกมา ทิ้งครอบครัวไว้ข้างหลัง แต่ก็ไม่คิดว่าจะมีโอกาสได้กลับประเทศไทยอีกตลอดชีวิต

——————————————

ที่มา : Khoasod English