MatiTalk : แบงค์ ศุภณัฐ สส.กทม. ก้าวไกล สงสัย – สงสารประชาชน หลังลองลุยขึ้นรถเมล์ แล้วเจอสารพัดปัญหา…

“ผมได้ลงพื้นที่ไปลองนั่งรอรถเมล์ ซึ่งรอรถประมาณ 40-50 นาที รอโดยที่ไม่รู้อนาคต เพราะว่าส่วนหนึ่งอยู่บนแอพ แต่ประชาชนบางส่วนใช้ไม่เป็น แล้วตัวชานชาลาไม่ได้มีตัวบอกเวลา อย่างน้อยที่สุดถ้ารู้เวลาเรารู้อนาคตเพื่อที่จะวางแผนการเดินทางทำอย่างอื่นรอได้ แต่ตอนนี้ทำไรไม่ได้ต้องนั่งรอรถเมล์อย่างไม่รู้จุดหมาย”

ศุภณัฐ มีนชัยนันท์  สส. กรุงเทพมหานคร พรรคก้าวไกล  ฉายภาพให้เห็นปัญหารถเมล์ไทย ซึ่งเป็นปัญหาที่ใกล้ตัวมากที่สุดและมีความซับซ้อน โดยมองว่าระบบขนส่งมวลชนควรเป็นสิทธิขั้นพื้นฐาน ในการเข้าถึงของประชาชน แต่ต้องอธิบายก่อนว่าการทำระบบขนส่งมวลชนส่วนใหญ่ขาดทุนอยู่แล้ว แต่สมมุติว่าอยากจะเพิ่มความถี่ให้มากขึ้น แน่นอนเพิ่มจำนวนรอบก็ยิ่งขาดทุน

สส.แบงค์ เล่าว่า ขสมก.เคยออกมาเปิดเผยว่า “ทุกครั้งที่เริ่มสตาร์ทรถเมื่อไหร่คือเริ่มขาดทุนทันที” โอกาสที่จะทำให้จำนวนรอบมันเยอะจึงเป็นไปได้ยาก แต่ถามว่าเราสามารถบริหารได้ไหมว่าจุดไหนที่ควรเยอะจุดไหนที่ควรน้อย อย่างเช่น เส้นทางใจกลางเมืองที่มีประชากรใช้เยอะอยู่อาจจะมีความถี่เยอะ หรือว่าชั่วโมงเร่งด่วน แต่ถ้าบอกว่ารถต้องมาทุกๆ 10 นาที ซึ่งในเชิงปฏิบัติทำไม่ได้ บางครั้งจะเห็นขับมาคู่กันและว่างทั้งคู่ เพราะไม่สามารถคาดการเรื่องของรถติด ในบางกรณี ก็รอเป็น 40-50 นาที รถเมล์ต้องมีการปรับตัวอยู่เรื่อยๆเพราะความต้องการของคนการกระจายตัวมีการปรับเปลี่ยนอยู่เรื่องยๆ

ถ้าเทียบกับต่างประเทศ อย่างตอนที่ผมไปเรียนที่อังกฤษช่วงแรก ผมก็มีโอกาสใช้รถเมล์ จะเห็นถึงความแตกต่างเชิงคุณภาพ การบริการการเข้าถึง การควบคุม ส่วนใหญ่มาตรงเวลา ทำให้คนก็อยากใช้ถ้าสังเกตคนในลอนดอนที่เป็นเจ้าของรถจริงๆ มีน้อย  50 เปอร์เซ็นของประชากรในลอนดอน ใช้รถเมล์ ถ้าเทียบคนกรุงเทพฯ อยู่ที่ประมาณ 20 เปอร์เซ็น ต้องดันคนใช้ให้มากและตั้งคำถามว่าทำไมคนถึงไม่ใช่รถเมล์

เมื่อวานผมได้ลงพื้นที่ไปลองนั่งรอรถเมล์ ซึ่งรอรถประมาณ 40-50 นาที รอโดยที่ไม่รู้อนาคต เพราะว่าส่วนหนึ่งอยู่บนแอพ แต่ประชาชนบางส่วนใช้ไม่เป็น แล้วตัวชานชาลาไม่ได้มีตัวบอกเวลา อย่างน้อยที่สุดถ้ารู้เวลาเรารู้อนาคตเพื่อที่จะวางแผนการเดินทางทำอย่างอื่นรอได้ แต่ตอนนี้ทำไรไม่ได้ต้องนั่งรอรถเมล์อย่างไม่รู้จุดหมาย เหมือนประชาชนต้องรับชะตากรรม เวลาของของฉันไม่ได้มีค่าเพียงพอให้รัฐลงมาดูตรงนี้อย่างจริงจัง รับชะตากรรมในเชิงที่ว่า รัฐบาลมีงบประมาณในการผลักดันรถเมล์ให้ดีขึ้นแน่นอนเพราะการพัฒนารถเมล์ไม่ได้ใช้งบเยอะเท่ากับรถไฟฟ้า แต่รัฐบาลไม่ได้ทำ ทุกวันนี้อย่างขสมก.ใช้รถเดิมประมาณ 30 ปีที่แล้ว แต่ก่อนขสมก.อาจเป็นทั้ง operator, regulator ควบคุมหมดเลยสัมปทานผูกขาดคนเดียว แต่ปัจจุบันมีเอกชนเข้ามาแบ่งการดูแล แต่เมื่อขสมก.กลายมาเป็น operator ก็ไม่สามารถที่จะสู้กับเอกชนได้ ซึ่งขสมก.ยังถือสายจำนวนมากอยู่ประมาณขึ้นครึ่งหนึ่งและเป็นครึ่งหนึ่งที่เป็นรถเก่า เป็นรถร้อน สังเกตเห็นอีกอย่างคือคนที่นั่งรถเมล์ จะใส่หน้ากากอนามัยเป็นส่วนใหญ่ เพราะฝุ่น มลพิษ pm2.5 แม้กระทั่งพื้นรถเมล์ ทุกววันนี้ยังเป็นไม้ตอกตะปูอยู่เลย นี่คือสิ่งที่ประชาชนเจอในชีวิตประจำวัน หรือแม้ว่ามีแปะ QR Code ให้ประเมิน แต่การที่จะประเมิน หรือ แสดงความคิดเห็น
คุณจะต้องใส่หมายเลขสายกับเลขทะเบียนรถ แต่เลขทะเบียนที่แปะอยู่หน้าตัวรถยังไม่ได้ทันได้ดูก็ขับออกไปแล้ว

ในขณะเดียวกันเมื่อมีการแบ่งให้เอกชนเข้ามาดูแลส่วนหนึ่งรัฐก็ยังไม่ได้ควบคุมเรื่องของจำนวนรอบ โดยต้องอธิบายก่อนว่าการการประมูลการเดินรถเมล์ของเอกชน จะมีขั้นต่ำในการเดินรถ ต้องมีรถจำนวนกี่คัน จำนวนรอบต่อสาย เพราะการออกใบอนุญาตแต่ละเส้นทางมีการวิ่งรอบครบจริงตามที่ได้ตกลงใน TOR (Terms of Reference หรือการจัดทําข้อกําหนดเงื่อนไขการประกวดราคา) หรือไม่ เอกชนทำตรงตามที่ตกลงกันหรือไม่ ถ้าไม่ได้ทำตรงตามที่ตกลง มีมาตราการในการจัดการอย่างไร ซึ่งเป็นหน้าที่ควบคุมของกรมขนส่งทางบก

ทำไมถึงยังไม่สามารถเกิดตั๋วร่วมได้ ทั้งที่พูดกันมานานแล้ว

ต้องเริ่มจาก mind set แรกเริ่มสุดเลยรัฐไม่ได้มองว่าจะมีรถไฟฟ้าหรือรถเมล์จะมีหลายสายกลายเป็นว่าให้ความสำคัญทีละสาย  ให้ความสำคัญกับเอกชน ถ้าสัมปทานไปแล้วเอกชนจะรอดหรือไม่ รัฐต้องจ่ายช่วยให้เอกชนเท่าไหร่ แต่ไม่ได้คิดในนมิตินโยบายภาพรวมว่าถ้าเอกชนสัมปทานไปแล้ว ต้องตกลงกับรัฐจะต้องทำระบบตั๋วร่วม มีค่าโดยสารร่วมกัน ถ้าตกลงกันตั้งแต่แรกแต่ละอย่างจะชัดเจน พอไม่มีการตกลงตั้งแต่แรก กลายเป็นว่าแต่ละคนต่าง operate ของแต่ละสายประชาชนเลยเสียประโยชน์

ตัวอย่างเช่น สายสีเหลืองที่ตอนแรกมีแผนจะเชื่อมต่อกับสายสีเขียว ไม่ผ่านสายสีน้ำเงิน เนื่องจากสายสีเหลืองอยากให้ผ่านเส้นทางสีน้ำเงินก่อน แต่สายสีน้ำเงินกลัวเสียรายได้ เพราะถ้าเกิดคนไม่ผ่านสายสีน้ำเงินแล้วไปสายสีเขียวได้ตรงสีน้ำเงินก็อาจจะรายได้หายบางส่วนเพราะฉะนั้นเลยไม่อยากให้เกิดสายสีเหลือง ถ้าอยากให้เกิดสายสีเหลืองรัฐจะไม่ซับพอร์ต เอกชนต้องไปลงทุนสร้างเอง 5-6 พันล้าน ทางผู้ operate ก็ไม่อยากลงทุนให้สายสีเขียว -เหลืองเชื่อมกัน เพราะถึงลงทุนแล้วไม่คุ้ม จะเห็นได้ว่าเป็นมิติของนโยบายภาครัฐ ในการแย่งยิงผลประโยชน์กัน โดยไม่ได้มีประชาชนเป็นตัวตั้ง

เรื่องการเปลี่ยนเลขสายรถใหม่ ต้องอธิบายที่มาคือมีความพยายามจะแบ่งโซนรถเมล์ให้ดูมีระบบมากขึ้น สมมุติ การเดินรถในกทม.แบ่งโซนเป็น 4 โซน เหนือ ใต้ ตะวันออก และตะวันตก โดยอยากให้รู้ว่าจุดเริ่มต้นของรถเมล์มีจุดเริ่มจากโซนไหน แต่ปัญหาคือรถเมล์ไม่ได้วิ่งอยู่ในแค่โซนตัวเอง สุดท้ายตัวเลขด้านหน้าไม่สามารถบอกอะไรได้ แต่ตัวเลขรถเมล์ไม่ได้บอกอะไรสำหรับประชาชน เพราะฉะนั้นไม่ได้มีประโยชน์สำหรับประชาชน อาจจะมีประโยชน์สำหรับผู้ที่บริหารรถเมล์ ในการที่ว่าปลายทางของรถเมล์ จะไปจอดที่อู่ที่อยู่ในทิศตะวันตก ทิศตะวันออก ไม่ได้มีสารัตถะที่ประชาชนต้องสนใจ สุดท้าย operator ก็ยังกำกับเลขเดิมให้อยู่ดี ประชาชนก็ยังชินกับเลขเก่าอยู่เหมือนเดิมเลยไม่เห็นถึงความจำเป็นที่ต้องปรับตัว

จากสถานะตอนนี้ขสมก.เป็น operator ต้องถามรัฐบาลว่ายังอยากให้ขสมก. operator เพื่อแข่งขันอยู่หรือไม่ หรือต้องการเอกชนเป็นผู้ดำเนินการทั้งหมด ไม่จำเป็นต้องมีรัฐวิสาหกิจที่เดินเรื่องของรถเมล์แล้ว มิติในการบริหารจะต่างกัน ถ้ายังอยากให้มีอยู่ มีเรื่องของค่าเสื่อม ค่าซ้อม เชื้อเพลิง การที่ให้ใช้รถเดิมอาจเป็นโทษมากกว่า ต้องคำนวณให้ดีๆ แต้ถาอยู่แบบนี้ขาดทุนไปเรื่อยๆ แต่ถ้ารัฐยังสนับสนุนต่อจะมีการปรับปรุงคุณภาพ
เรื่องของการกำกับหรือไม่ เพราะรัฐวิสาหกิจ ส่วนใหญ่ค่อนข้างเหมือนอยู่ในแดนสนธยาได้รับการดูแลจากภาครัฐกลายเป็นว่าไม่มีการปรับเรื่องของคุณภาพ หรือถ้าไม่อยากให้มีจะกลายเป็นเอกชนร้อยเปอร์เซ็น แต่ที่จะทำอย่างไรกับบุคลากรในขสมก. ซึ่งหลายคนเป็นบุคคลที่มีคุณภาพ ประสบการณ์การขับรถเมล์ มีศักภาที่แต่ขาดการสนับสนุนจากภาครัฐ  ขสมก ถ้าปรับเป็นเอกชนเพื่อเพิ่มความคล่องตัวในการทำงานมากยิ่งขึ้น ผมเชื่อว่าเรื่องของค่าใช้จ่ายบางอย่างที่ไม่จำเป็นมันก็ลดลงเรื่อยๆ

ผมแบ่งปัญหาเป็น 4 หมวด คือ 1.) คุณภาพ – คุณภาพของรถ คุณภาพของการให้บริการ รถไม่เพียงพอต่อความต้องการของประชาชน  2.) การเข้าถึง – การมีรถครอบคลุมในทุกพื้นที่ 3.) ความสะดวกสะบาย -ในแง่ของการบริการ สภาพรถของรถเมลล์หรือรถโดยสารเอื้อต่อเด็ก ผู้สูงอายุ ผู้พิการหรือไม่ หมายเลขสายที่มีการเปลี่ยนใหม่ ป้ายเพราะว่าๆไม่ใช่ว่าทุกป้าย ทุกจุด มีป้ายชัดเจนบางป้ายไม่มีชัดเจน กลายเป็นว่าบางคันไม่รุ้ว่าจะมาเมื่อไหร่ และ 4.) การจับต้องได้- คือราคาที่จับต้องได้ ในแง่ของค่าครองชีพ ถ้าหากประชาชนต้องการเปลี่ยนสาย เปลี่ยนโหมวด จะต้องมีการกำหนดเกณฑ์ สูงสุดไว้หรือไม่ เพราะฉะนั้นปัญหาทุกอย่างอยู่ใน 4 หมวดหลัก

ถ้าให้ผู้บริหาร อย่างรัฐมนตรี อธิบดีมาลองนั่งโดยไม่ต้องจัดฉาก ผมคิดว่าน่าจะดีขึ้น เพราะสุดท้ายแล้วคนนั่งไม่คิด คนคิดไม่ได้นั่ง เมื่อได้นั่งอจาจะเริ่มคิดได้แล้วเริ่มสังเกต ในความเป็นจริงทำไม่ได้ในหลายๆ เรื่อง แต่ถ้าเกิดผู้มีอำนาจมาดูและสังเกตมากขึ้นคุณจะรู้ว่า ลายละเอียดเล็กๆ สำคัญกับประชาชน

ฝากถึง กทม. 

ต้องบอกว่ากทม.มีอำนาจไม่ค่อยชัดเจน มีความทับซ้อน อิหลักอิเหลื่อกับหน่วยงานภาครัฐ จะเห็นว่ามีการวางให้แต่ละองค์กรคานอำนาจกันเอง การคานอำนาจมุมหนึ่งนั้นดี ทำให้มีการตรวจสอบ แต่การคานอำนจแบบนี้ประชาชนเสียเปรียบในเรื่องของการจัดการ อย่างเรื่องปัญหารถติดใน การจัดการปัญหาการจาราจร กทม.
คุมสำนักจราจร แต่ตำรวจ.สน ไปอยู่ภายใต้สำนักงานตำรวจแห่งชาติ ต่างฝ่ายต่างก็โยน และส่วนใหญ่แล้วหน่วยงานราชการจะไม่คุยกัน เพราะถ้าหน่วยงานราชการไม่คุยกันคุณไม่มีทางแก้ปัญหาได้ เพราะแต่เรื่องเกี่ยวโยงกันหมด เพราะถนนในกรุงเทพ มีเจ้าของเยอะมาก

ผ่านมาร่วม 2 ปี เพราะฉะนั้น กทม.ต้องเร่งทำคะแนน ตรงไหนเป็นสิ่งที่ควรให้ความสำคัญเป็นหลัก เข้าใจว่านโยบายของผู้ว่าฯชัชชาติค่อนข้างเยอะ เพราะฉะนั้นอะไรที่เป็นเรื่องหลักๆ จะต้องมีการทำให้เห็นเป็นรูปธรรม จะตามเก็บทุกเรื่องไม่ได้ ยกตัวอย่างถ้าอยากให้วาระหลัก ถ้าเป็นเรื่องของฟุตบาท ผมว่าอะไรต้องมีความเด็นขาดมากขึ้น

Former transport minister Chadchart Sittipunt speaks to AFP as he campaigns as an independent candidate in the upcoming Bangkok gubernatorial election, in Phayathai district in Bangkok on May 5, 2022. (Photo by Lillian SUWANRUMPHA / AFP)

ซึ่งผู้ว่าฯชัชชาติ มีอำนาจหนึ่งซึ่งไม่ได้เป็นอำนาจโดยตรงของตัวผู้ว่าฯแต่เป็นอำนาจเรื่องของการได้รับการยอมรับจากประชาชน มีอิทธิพบทางการเมืองที่สูงมาก เหมือนเป็นซอฟเพาเวอร์อย่างหนึ่งของผู้ว่าฯแต่แรก เพราะฉะนั้น ท่านสามารถที่จะผลักดันวาระหลายๆวาระ ไม่มีใครที่จะมาต่อต้าน เพราะฉะนั้นต้องใช้อำนาจตรงนี้ให้เกิดประโยชน์สูงสุด ในการดีลกับข้าราชการ ผมคิดว่าประเด็นที่อยากฝาก อยากให้เด็ดขาดมากกกว่านี้

ฝากการบ้านรัฐบาล

ผมคิดว่าทำเรื่องที่เป็นปัญหาหมกหมม  ปัญหาเชิงโครงสร้าง อย่าไปโฟกัสแค่ short term policy ทุกวันนี้ ผมว่าเป็นเรื่องของการจัดการอำนาจต่างๆที่รัฐบาลต้องการโฟกัสว่าหน่วยงานไหนที่รัฐควรจะโอนอำนาจ อย่าให้เกิดการจัดการเบ็ดเสร็จเด็ดขาดอยู่ในก้อนเดียว แต่กต้องระวังว่าอย่าให้หน่วยงานในหน่วยหนึ่งมีอำนาจมากเกินไป

เพราะฉะนั้น ต้องเรื่องของโครงสร้างการแบ่งแยกอำนาจ ต้องมีการปรับใหม่ คือภาพใหญ่ที่รัฐบาลควรให้ความสำคัญ ทำไมก้าวไกลถึงพูดเรื่องโครงสร้าง เพราะการแก้ไขกฎหมาย เป็นตัวให้อำนาจกับรัฐ กฎหมายเป็นตัวกำกับว่าสุดท้ายแล้วอำนาจไปอยู่ที่หน่วยงานไหน