ขอบคุณข้อมูลจาก | คอลัมน์ ปรุงในครัวทัวร์นอกบ้าน โดย แม่หวาน ละมุมมัน |
---|---|
ที่มา | มติชนสุดสัปดาห์ ฉบับวันที่ 7 - 13 ตุลาคม 2559 |
เผยแพร่ |
ตื่นเต้นจนลืมเหนื่อย พอได้นั่งรถบัสอีกครั้งรู้สึกเพลียชอบกล ยิ่งมองไปไกลทั้งขุนเขา เนินหน้าผา รวมทั้งบ้านเมืองด้านล่างที่ดูเล็กลงเล็กลงจนแทบจะกลายเป็นจุดจุดหนึ่งบนผืนแผ่นดินสีเขียว ทั้งถนนหนทางที่คดเคี้ยวเหมือนงูเลื้อยทำให้ดวงตาฉันเริ่มพร่ามัว ตาปรือ
ส่วนอายากะนั้นไม่ต้องห่วงเธอฝันหวานไปเป็นที่เรียบร้อย
เมื่อถึงจุดหมายที่สอง ที่ๆ นักท่องเที่ยวต้องมากราบนมัสการองค์พระพุทธรูปดอร์เดนมา (Buddha Dordenma Statue) ฉันก็รู้สึกเหมือนไม่อยากลง เพราะเมื่อมองไปรอบๆ ข้างถนนหนทางก็เปียกชื้นเฉอะแฉะซึ่งน่าจะเป็นผลมาจากฝนที่เทลงมาบ้างแล้ว มองสูงออกไปนอกรถบนฟากฟ้าก็ดำมืดเหมือนกับจะบอกว่าอีกไม่นานฝนห่าใหญ่จะตามมา
ถนนเริ่มแคบเล็กเต็มไปด้วยเศษดินหิน และนักท่องเที่ยว นอกจากองค์พระพุทธรูปแล้วทุกอย่างรอบข้างเหมือนจะยังสร้างไม่เสร็จ มีเศษอิฐหินปูนอยู่ตามท้องถนนที่รถพยายามเข้าไปให้ใกล้ที่สุดเพื่อให้เราได้เดินกันน้อยที่สุด
แต่ฉันก็ยังอิดเอื้อนไม่อยากจะลง ระยะทางที่รถบัสนำกลุ่มเราขึ้นมาสู่องค์พระดอร์เดนมานั้นก็สูงพอที่จะทำให้ออกซิเจนน้อยลงจนระบบการหายใจของฉันติดขัด
แต่เมื่อหันไปมองผู้โดยสารร่วมกลุ่มก็ใจชื้นขึ้นมาหน่อยเพราะไม่ใช่ฉันคนเดียวเสียแล้วที่เหนื่อยเพลียจนหมดแรง คนอื่นๆ ในกลุ่มที่มาไกลจากสิงคโปร์และฮ่องกงต่างก็กอดกระเป๋าใบใหญ่บนตักคอพับซบไปที่กระเป๋าใบนั้นชนิดที่ใครทำอะไรก็คงไม่ตื่น
คงทั้งเหนื่อยทั้งเพลียจากการเปลี่ยนเครื่องครั้งแล้วครั้งเล่าเป็นแน่แท้ เทียบกันแล้วฉันก็ไม่ได้เหนื่อยจากการเปลี่ยนเครื่องเลย…
เอาละลงไปเดินชมวิวสักนิดน่าจะดีกว่านั่งหลับอยู่ในรถบัสเล็กๆ คันนี้เป็นแน่แท้ ว่าแล้วฉันก็คว้ามืออายากะลงรถบัสเดินฝ่าลมแรงขึ้นไปบนยอดของภูเขาในทันที
อายากะทั้งเดินและกระโดดตามอย่างกระปรี้กระเปร่า อืม…เป็นเด็กน้อยนี่ก็ดีนะ…ช่างมีเรี่ยวแรงกับสิ่งใหม่ๆ ที่เห็นตรงหน้าเสมอ
เห็นผอมๆ อย่างนี้แรงเธอดีพอควรช่วยถือกระเป๋าและพาฉันวิ่งต่อไปข้างหน้าอย่างสนุกสนานจนฉันหมดแรง
เมื่อก้าวพ้นบันไดขึ้นมาบนยอดที่ตั้งขององค์พระพุทธรูปก็จะมองเห็นด้านข้างของพระพุทธรูปดอร์เดนมาองค์ใหญ่เด่นเป็นสง่าท่ามกลางเมฆหมอกดำที่คืบคลานใกล้เข้ามา ฉันรีบเดินไปด้านหน้าให้ทันก่อนพระพิรุณท่านจะมาเยือน ด้วยตั้งใจว่าจะแค่รีบเดินดูและรีบกลับ
แต่เมื่อเดินผ่านด้านข้างไปได้สักพักก็มาหยุดยืนอยู่ตรงหน้าพระพุทธรูปดอร์เดนมาพอดี ฉันเงยหน้าขึ้นมองพระเนตรของท่านแล้วเหมือนต้องมนต์สะกด
ฉันนิ่งสบตาอยู่นานแล้วน้ำตาก็เอ่อล้นก่อนฉันจะยกมือขึ้นนมัสการท่านอยู่อย่างนั้นดังต้องมนต์อีกครา
บางครั้งความปลื้มปีติก็ผุดขึ้นมาในใจได้อย่างง่ายดายเมื่อได้ประสบพบกับสายตาที่เปี่ยมล้นไปด้วยความเมตตา ความสุขแผ่ซ่านไปทั่วทุกอณู
ช่างโชคดีอะไรเช่นนี้ที่ตัดใจเดินลงมาจากรถบัส
ฉันรีบขึ้นบันไดสูงขึ้นไปอีกชั้นเพื่อที่จะไปนมัสการท่านให้ใกล้ที่สุด
แต่เมื่อเหลือบมองลงมาตรงลานกว้างด้านล่างฉันก็เห็นหญิงสาวชาวภูฏานกำลังกราบไหว้ท่านพร้อมหยิบก้อนหินก้อนแล้วก้อนเล่ามาวางไว้ตรงหน้า เธอกำลังทำอะไรนะ?
สองมือเธอยกขึ้นท่วมศีรษะเลื่อนลงมาจรดตรงจมูก เลื่อนมาระหว่างอก และก็คุกเข่าลง วางและแบมือทั้งสองข้างไว้ด้านหน้า ก่อนก้มศีรษะลงจรดพื้นแล้วก็ไปเก็บก้อนหินมาวางตรงหน้า เธอทำอยู่เช่นนั้นซ้ำๆ ด้วยความอดทนที่ยากเกินที่ฉันจะเลียนแบบได้
ความมุ่งมั่นความศรัทธาของคนภูฏานนั้นเปี่ยมล้นจนเห็นได้ชัด อย่างน้อยเธอคงนมัสการเช่นนั้นเป็นร้อยครั้งตามกองก้อนหินที่เธอเอามากองไว้ เธอไม่แคร์สถานการณ์ฟ้าฝน เธอทำด้วยความมุ่งมั่น…
ถ้าเราๆ มีความมุ่งมั่นได้สักครึ่งหนึ่งของเธอก็คงจะดี
พุทธอุทยานนานาชาติดอร์เดนมา เป็นศูนย์กลางการเผยแผ่ศาสนาพุทธ และเป็นที่ประดิษฐานพระศรีศากยมุนี (องค์พระพุทธรูปดอร์เดนมา) ประทับนั่งบนวัชรอาสน์ เป็นพระพุทธรูปองค์ใหญ่ที่สุดในโลกเคลือบด้วยทองคำโดยมีความสูง 169 ฟุต และฐานขององค์พระซึ่งเป็นรัตนบัลลังก์สูง 50 ฟุต
ภายในเป็นที่ประดิษฐานของพระพุทธรูปองค์เล็กขนาดความสูง 12 นิ้ว และ 8 นิ้ว รวม 125,048 องค์
นอกจากนี้ ภายในยังเป็นที่ประดิษฐานพระบรมสารีริกธาตุ และมนตรา บริเวณฐานพระพุทธรูปเป็นห้องโถงสำหรับการนั่งทำสมาธิ และสามารถมองลงไปเห็นทิวทัศน์ของเมืองทิมภูได้อย่างงดงาม
เหนื่อยแล้วเหนื่อยอีก รถบัสก็ยังพาล่องลอยไปสู่จุดหมายใหม่นั่นคือเมมโมเรียลชอร์เตน (National Memorial Chorten) เป็นสถูปที่มีความสำคัญของชาติ ตั้งอยู่ที่เมืองทิมภูโดยพระราชินี อชิ พุนโช โชเดน วังชุก ซึ่งเป็นพระมารดาของกษัตริย์รัชกาลที่ 3 สร้างเพิ่มเติมขึ้นเพื่อเป็นพระอนุสรณ์สถานแด่สมเด็จพระราชาธิบดี จิกมี ดอร์จิ วังชุก พระมหากษัตริย์รัชกาลที่ 3 ของภูฏานที่ได้รับขนานนามว่าเป็นมหาราชแห่งภูฏาน
ฝนตกปรอยๆ ฟ้ามืดครึ้ม ความหนาวเย็นเข้ามาเยือนสถูปดูวังเวงชอบกล ทางเข้าเป็นสวนเล็กๆ ตรงประตูทางเข้ามีหินชนวนประดับทั้งนอกและใน ด้านนอกสลักเป็นรูปพระโพธิสัตว์ทั้งสาม คือพระโพธิสัตว์อวโลกิเตศวรผู้ทรงความแมตตา พระโพธิสัตว์มัญชุศรีผู้ทรงปัญญา และพระโพธิสัตว์วัชรปาณิผู้เป็นตัวแทนแห่งอำนาจ
ด้านซ้ายมีกงล้อมนตราขนาดใหญ่ที่บรรจุมนต์ไว้มากมายจนหนักอึ้งยากที่จะหมุนกงล้อนั้นด้วยแรงของฉันและอายากะ ตั้งเรียงรายโดดเด่นเป็นสง่าท่ามกลางสาธุชนผู้ตั้งใจมาสักการบูชาองค์สถูป
เดินตรงเข้าไปด้านในก็จะเห็นยอดแหลมสีทองน่าจะส่องประกายท้าทายกับแสงตะวันเป็นประกายวิบวับในยามที่แสงแดดงาม แต่วันนี้มืดหม่น แต่ยอดแหลมสีทองที่ตัดกับตัวสถูปสีขาวก็ยังเด่นสง่าอยู่ท่ามกลางฝนที่เริ่มโปรยปราย ไม่มีใครรีบ ไม่มีใครวิ่งหลบฝน ทุกชีวิตยังคงเดินวนรอบๆ สถูปตามเข็มนาฬิกาพร้อมกับสวดมนต์ภาวนาให้กับตนเองและคนในครอบครัว
ระฆังใบเล็กที่ส่งเสียงดังกรุ๊งกริ๊งยามต้องลมโชยเหมือนช่วยชโลมใจให้สาธุชนที่มาสักการะพบกับความเงียบสงบในจิตใจ
เนื่องจากสายฝน ความเหนื่อยและความมืด ฉันจึงทำตัวแตกต่าง วิ่งขึ้นรถบัสไปก่อนโดยไม่ได้เข้าไปเยี่ยมชมด้านในสถูป ทราบแต่เพียงว่าภายในมีพระบรมศพบรรจุอยู่ และมีพระพุทธรูป 1,000 องค์
ได้แต่หวังว่าคราวหน้าฟ้าใหม่ถ้าได้มีโอกาสมาเยี่ยมเยียนทิมภูอีกก็จะขอสักการะและขอเดินเวียนขวาตามเข็มนาฬิการอบองค์สถูปเพื่อความเป็นสิริมงคลให้กับตนเองและครอบครัว