ผี พราหมณ์ พุทธ l เชิญชวนสวดมนต์กันในความทุกข์ทน : มนต์ก็ต้องภาวนา ด่าก็ต้องด่า

คมกฤช อุ่ยเต็กเค่ง

 

 

เชิญชวนสวดมนต์กันในความทุกข์ทน

: มนต์ก็ต้องภาวนา ด่าก็ต้องด่า

 

ผมจิตตก รอบกายมีแต่ข่าวของผู้คนที่เจ็บป่วยและไร้ความช่วยเหลือ ประชาชนต้องหาทางช่วยกันเอง การบริหารจัดการประเทศที่เราเห็นกันอยู่ว่าเป็นอย่างไร ไม่ต้องคิดว่าชีวิตของเราจะดีหรือสบาย แค่เอาตัวรอดในสภาพการณ์แบบนี้ก็ยากแสนยาก

ผลแห่งความผิดพลาดของรัฐได้ปรากฏชัดแจ้งจนไม่ต้องพูดอะไรแล้ว

ผมเคยเขียนว่าชีวิตของพวกเราเหมือนอยู่ในนรกในบทความชื่อ “นรกภูมิบนแผ่นดินโลก” มาบัดนี้ผมคิดว่าเราได้เข้ามาสู่ “อบายภูมิ” อีกอันหนึ่งคือ “เปรตภูมิ” เป็นที่เรียบร้อยแล้ว

คำอธิบายถึง “สภาวะ” แห่งเปรตภูมิในทางจิตใจนั้น คือความอดอยากหิวโหย บางครั้งดูเหมือนจะมีอาหารกิน แต่ก็ไม่อาจกินได้ ความหิวโหยดังกล่าวทำให้ต้องแก่งแย่งอาหารกันตลอดไป ทว่าความหิวโหยนั้นไม่อาจบรรเทาลงเลย

เราทุกคนถูกทำให้หิวโหย ถูกทำให้แก่งแย่งกัน แย่งกันแสวงหาทางรอด แย่งกันกิน แย่งกันฉีดวัคซีน แต่เราก็ยังรู้สึกว่าเรายังไม่รอด เราหิวทั้งกายทั้งใจ เราถูกทำให้ยากจนลงไปทุกด้าน

ผมอยากเน้นย้ำนะครับว่า เราส่วนใหญ่ถูกผลักมาในเปรตภูมิอย่างไม่เต็มใจโดยเทวดาบางจำพวก ที่พยายามจะรักษาผลประโยชน์และความโลภโมโทสันในเทวภูมิของตัวเองไว้

ในคติพุทธศาสนา เทวภูมินั้นแม้จะสบายและน่ารื่นรมย์ แต่เปี่ยมไปด้วยความโลภและความกลัวที่ความสุขของตนจะสูญเสียไป พวกเทวดาจึงมักทำอะไรเพื่อรักษาผลประโยชน์ของตนไว้เสมอ

ในตำนานธรรมฮินดู เทวดากลับกลายเป็นฝ่ายร้ายในเทวสงคราม ใช้ทุกทางเพื่อเอาชนะพวกอสูร แต่ก็ยังยกตัวเองว่าอยู่ฝ่ายธรรมะอย่างน่าเกลียด

ดังนั้น ผมอยากจะเตือนผู้มีอำนาจและเทวดาเหล่านั้นว่า ความโกรธแค้นของผู้คนนี่คือคำสาปที่ยิ่งใหญ่กว่าคำสาปใดนะครับ น่าจะต้องได้พบความวิบัติด้วยประการใดประการหนึ่ง

อย่างน้อยที่สุดผู้คนก็จะก่นด่าตลอดไปจนถึงลูกถึงหลานแน่ๆ

 

ในเมื่อจิตผมตก ตามประสาศาสนิกโง่ๆ ซื่อๆ ผมคงทำตามคำสอนของครูบาอาจารย์ว่า ให้สวดมนต์ภาวนา ใช้พลังมนตราเยียวยาตัวเองและแผ่พลังที่ดีไปสู่คนอื่นๆ โดยรวมบ้าง จะมีผลหรือไม่นั้นเป็นเรื่องอจินไตย แต่ก็ขอให้ทำ

ฟังดูบ้านิดๆ ครับ แต่ผมอยากชวนทุกคนสวดมนต์ ทั้งๆ ที่ผมเคยวิจารณ์การจัดสวดมนต์ไล่โควิดของภาครัฐมาก่อน คือผมคิดว่า อันที่จริงศาสนามันก็มีหน้าที่เรื่องนี้ด้วยแหละครับ คือไอ้พวกเรื่องพิธีกรรม เรื่องศรัทธา ก็มันเป็น “ศาสนา” นี่นา จะสวดมนต์ทำพิธีก็ไม่แปลก

เพียงแต่ที่ต้องด่าก็เพราะไอ้การจัดสวดมนต์แบบนั้นมันดันเป็นงานของภาครัฐ เอาเงินภาครัฐไปจัด ซึ่งแทนที่จะไปแก้ปัญหาที่สำคัญกว่า ดันเอางบประมาณและเวลาไปทำอะไรแบบนี้

หากองค์กรศาสนาทำกันเองในฐานะเอกชน ไม่ได้ใช้เงินหลวง ไม่ได้ใช้ทรัพยากรของรัฐ (แต่ก็นั่นแหละครับ องค์กรศาสนาบ้านเรามันก็คือองค์กรของรัฐนั่นแหละ) หรือทำแค่เล็กๆ ตามความเหมาะสม และพร้อมๆ กันนั้นก็ช่วยเหลือผู้คนในมิติอื่นๆ ไปด้วย เออ อันนี้ค่อยเริ่มดูเข้าท่า

ดังนั้น ผมในฐานะศาสนิกคนหนึ่ง อยากชวนผู้คนสวดมนต์ แต่เราจะไม่สวดมนต์แบบปลีกวิเวก หนีปัญหา หรือเอาความสงบแล้วซุกทุกอย่างไว้ใต้พรม เราจะสวดมนต์กันด้วยหัวใจที่อ่อนล้า ด้วยความโกรธที่รุมๆ ในใจ ด้วยความเปราะบางอ่อนไหว ด้วยความรู้สึกนานาในฐานะที่เราเป็นมนุษย์

ดังนั้น มนต์ที่เราสวด เราจะสวดในฐานะคำสื่อสารถึงความห่วงใย ความอาทรที่เราอยากส่งไปยังผู้อื่นตลอดจนผู้ที่ทุกข์ทนทั้งหมดในสังคมนี้ เหมือนคำบอกรัก เหมือนคำบอกว่าห่วงใย เพียงแค่เราใช้ภาษาต่างออกไป สัมพันธ์กับพลังงานบางอย่างในตัวเรา ในพลังที่มนต์เหล่านั้นบรรจุไว้ ในเสียง ในคลื่นความถี่ ในศรัทธาที่เรามี

อันนี้เชื้อชวนท่านผู้มีศรัทธาในวิถีแห่งมนต์ ศาสนา หรือจิตวิญญาณนะครับ แต่หากท่านไม่สะดวกใจกับวิถีนี้ คำพูดแห่งความเมตตาและทุกเสียงที่ท่านเปล่งไปเพื่อเพื่อนมนุษย์ นั่นย่อมมีความหมายและคุณค่าไม่ต่างจากมนต์แน่นอน

 

ผมเพียงอยากแสดงให้เห็นว่า เราไม่จำเป็นต้องใช้มนต์ พิธีกรรม สัญลักษณ์หรืออะไรในทางศาสนา เพื่อเข้าสู่ความสงบ และ “หนี” ออกไปจากโลกดังที่มักชอบทำกัน แต่เราใช้สิ่งพวกนี้เพื่อเข้าใกล้สัมพันธ์กับความทุกข์ของตนเองและผู้อื่น ด้วยความรู้สึกลึกๆ ที่อยากจะเยียวยาไปพร้อมๆ กันด้วย

มนต์จึงเปรียบเสมือนเราได้พกน้ำขวดหรือยารักษาโรคติดตัวไปกับเรา เมื่อเราต้องเผชิญสถานการณ์อันไม่น่าพึงใจและอารมณ์ด้านลบ หากเราไม่พกยาไปเลย บางครั้งเราอาจแทบทนไม่ได้กับความเจ็บปวดที่เราเจออยู่

มนตร์ มาจาก “มน” คือ “ใจ” และ “ตร” อันแปลว่า “รักษา” โดยเนื้อแท้มันคือสิ่งที่รักษาใจเอาไว้

ในฝ่าย “มนตรยาน” มนต์คือพาหนะอันสำคัญยิ่ง เราจะสวดมนต์ในทุกขณะของชีวิต ไม่ว่าขึ้นสูงหรือตกต่ำ ไม่ว่าจะอยู่ในสภาวการณ์หรืออารมณ์ใด แล้วมันก็จะทำงานในวิถีของมัน

การใช้มนต์เพื่อให้เกิดความสงบแต่เพียงอย่างเดียวโดยเป็นความสงบที่ปลีกเร้น มิใช่วิถีของมนต์ที่เรากำลังกล่าวถึง

มนต์หรือยาชนิดนี้ช่วยไม่ให้เราตาย แต่ก็ไม่ได้ทำให้อาการหายไปจนหมด เรายังคงรับรู้พื้นผิว ความขรุขระของทุกสภาวะจิต แต่ก็คล้ายเราพึมพำเบาๆ กับตัวเองว่า ฉันยังคงมีความดีพื้นฐานอยู่ในตัวเอง และความดีนั่นยังส่องแสงไปถึงคนอื่นๆ ได้ด้วย ดังนั้น มันคงไม่แย่นักกระมัง

การไม่หลีกเร้นไปอยู่ในความสงบเพียงลำพัง นี่คือมรรควิถีแห่งมหายาน เราไม่หันหน้าหนีสังสารวัฏ และเรารักษาความเป็นมนุษย์ไว้ด้วย โดยไม่กลายเป็นนักภาวนาผู้มีใจเหี้ยมโหดเย็นชา

 

ผมอยากชวนให้ลองสวดมนต์แห่งความกรุณาของพระอวโลกิเตศวร (เรียกลำลองกันว่ามนต์มณี) คือ “โอม มณี ปัทเม หุม” (คนทิเบตมักออกเสียงเสียงว่า โอม มานี เปเม ฮุง หรือคนจีนมักออกว่า โอม มานี แปะเม ฮง) แปลว่า “โอม มณีในดอกบัว หุม”

โอม และ หุม เป็น “พีชะพยางค์” หรือเมล็ดพันธุ์แห่งจิต ซึ่งทำงานในจิตใจเราบนวิถีที่เร้นลับ กล่าวคือเสียงทำงานกับจิตใต้สำนึกโดยตรง โดยไม่จำเป็นต้องผ่านความหมายในทางตรรกะ

ผมอยากตีความว่า ดอกบัวนี้คือหัวใจของเราทุกคน (ซึ่งมีรูปร่างเหมือนดอกบัว) เป็นหัวใจที่มีเลือดเนื้อ เต้นอยู่ใต้หน้าอกของเรา เราจึงรู้สึกได้ รักได้และทุกข์ได้ แต่ในขณะเดียวกัน ภายในดอกบัวอันสั่นไหวนี้ เรามี “แก้วมณี” อันงดงามอยู่ภายใน

แก้วมณีดวงนี้คือความเมตตากรุณา คือความรัก คือโพธิจิตอันประเสริฐ คือความดีพื้นฐาน คือความเป็นมนุษย์ หรือคำอื่นใดในทำนองนี้ ไม่ใช่เป็นเพียงนิมิตถึงจิตกระจ่างใสที่เป็นเพียงภาพในจินตนาการเท่านั้น

เมื่อเราระลึกรู้ถึงแก้วมณีในดอกบัวภายในของเรา เรารู้สึกราวกับพลังของแสงสว่างนั่นส่องออกไป ส่งไปเยียวยาทุกผู้คน แม้ในวันที่เราอ่อนล้าราวกับแสงนี้หม่นลง แต่ก็ขอให้รักษาความรู้สึกอุ่นๆ และแสงอ่อนของใจนี้ไว้ อย่าให้ดับมืด แล้วภาวนามนต์นี้เถิด

ให้มนต์อยู่บนริมฝีปาก ให้ความรู้สึกแห่งความรักความเมตตาทำงานไปด้วย ให้แสงสว่างแห่งใจแผ่ออกไป มนต์นี้ก็จะมีพลานุภาพยิ่งใหญ่

 

ผมมีความศรัทธาอย่างมากมายต่อมนต์บทนี้ สำหรับผมแล้ว เป็นเหมือนสมบัติล้ำค่า เหมือนพ่อเหมือนแม่ เหมือนคนรัก เหมือนน้ำเย็น เหมือนยา เหมือนเรือข้ามฟาก ช่วยผมไว้นับครั้งไม่ถ้วน ให้ผมผ่านความทุกข์ได้หลายต่อหลายครั้ง

ถ้าให้ชีวิตนี้ผมสามารถสอนอะไรคนอื่นได้อย่างเดียว ผมจะสอนมนต์บทนี้ ถ้าจะมีคำไหนที่ผมอยากพูดก่อนจะตาย ก็คือมนต์บทนี้

ดังนั้น ในความทุกข์ที่เรามีร่วมกัน ผมอยากชวนเชิญทุกท่านมาสวดมนต์มณี แต่พร้อมๆ กันนั้น ท่านที่ด่ารัฐอยู่ก็ขออย่าได้แผ่ว หลายต่อหลายครั้งการด่าไม่เพียงปลดปล่อยความโกรธของเราออกไป แต่ยังขับเคลื่อนการทำงานของประเทศนี้ด้วย (ฟังดูน่าเศร้า)

ขอให้เราแปรเปลี่ยนความเกรี้ยวโกรธเป็นพลัง เพื่อที่จะต่อสู้ต่อไป ในขณะเดียวกันขอให้เราได้เป็นมนุษย์ผู้เยียวยาซึ่งกันและกัน แบ่งปันความทุกข์ของกันและกัน

ขอพลานุภาพของมนต์และความรักทำให้เราผ่านพ้นวิกฤตนี้ไปได้

โอม มณี ปัทเม หุม!