น้อมนำพระดำริ “ผ้าไทยใส่ให้สนุก” ปลัด มท. จับมือนายกฯแม่บ้าน มท. นำทีมผู้เชี่ยวชาญผ้าไทย โค้ชชิ่ง “ผ้าลายดอกรักราชกัญญา” ลุย14 จังหวัดปักษ์ใต้

น้อมนำพระดำริ “ผ้าไทยใส่ให้สนุก” ปลัด มท. จับมือนายกฯแม่บ้าน มท. นำทีมผู้เชี่ยวชาญผ้าไทย โค้ชชิ่ง “ผ้าลายดอกรักราชกัญญา” ลุย14 จังหวัดปักษ์ใต้

“การจะพัฒนาคุณภาพชีวิตที่ดีที่ยั่งยืนได้ ข้าราชการต้องเป็นผู้นำเอาความรู้และเนื้อหาไปสู่พี่น้องประชาชน” นายสุทธิพงษ์ จุลเจริญ ปลัดกระทรวงมหาดไทย กล่าวเปิดใจหลังเป็นประธานเปิดกิจกรรม Coaching พัฒนาศักยภาพผู้ผลิต ผู้ประกอบการ OTOP ด้านผ้าไทย และงานหัตถกรรม “ผ้าลายดอกรักราชกัญญา” ร่วมดร.วันดี กุญชรยาคง จุลเจริญ นายกสมาคมแม่บ้านมหาดไทย โดยมีส่วนราชการต่างๆ และ ภาคีเครือข่ายรวมกว่า 400 คน ร่วมกิจกรรม ที่ จ.นครศรีธรรมราช

นายสุทธิพงษ์ กล่าวว่านับเป็นพระมหากรุณาธิคุณอันหาที่สุดมิได้ที่สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ บรมราชชนนีพันปีหลวง ทรงทุ่มเทในการฟื้นฟูอาชีพช่างทอผ้าให้ได้เป็นอาชีพเสริมของเกษตรกรเพื่อทำให้มีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น โดยพระราชทานแนวความคิดไปสู่การปฏิบัติ ด้วยการส่งเสริมยุยงและกระตุ้นทุกวิถีทางเพื่อให้ประชาชนในพื้นที่ได้ทอผ้าขายให้พระองค์ท่านก่อน เป็นที่มาของคำว่า “ขาดทุนคือกำไร” ด้วยการนำพระราชทรัพย์ ทรงรับซื้อไว้เป็นหลัก ขาดทุนของพระองค์ท่านคือกำไรของชาวบ้าน ทรงน้อมนำหลักการทรงงาน “เข้าใจ เข้าถึง พัฒนา” ของพระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร มาใช้ในการส่งเสริมชาวบ้านเพื่อให้พี่น้องเกษตรกรได้สมัครใจและเห็นว่า “ชีวิตยังมีหวัง”

ทั้งนี้ ด้วยทรงพบว่าพี่น้องคนไทยในทุกพื้นที่มีสายโลหิตที่รับมรดกตกทอดมาจากบรรพบุรุษในการปลูกหม่อนเลี้ยงไหม ปลูกฝ้าย ทอผ้า นำไปสู่การจัดตั้งโครงการศิลปาชีพ เมื่อปี 2515 ถือเป็นโครงการศิลปาชีพในสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถแห่งแรก โดยทรงเน้นย้ำให้ประชาชนทำงานรวมกันเป็นกลุ่ม เพื่อจะได้พึ่งพาอาศัยช่วยเหลือกัน รวมทั้งมีผู้นำต้นแบบในขณะนั้น คือ พลเอก เปรม ติณสูลานนท์ นายกรัฐมนตรี นำคณะรัฐมนตรี ข้าราชการ สวมใส่ชุดผ้าไทยในทุกวัน จนทำให้ประชาชนคนไทยในยุคนั้นนิยมสวมใส่ผ้าไทย อันเป็นต้นแบบมาถึงภาครัฐในปัจจุบัน

ปลัดมหาดไทย เผยว่า “ปี 2553 เราโชคดีที่สมเด็จพระเจ้าลูกเธอ เจ้าฟ้าสิริวัณณวรี นารีรัตนราชกัญญา ทรงมุ่งมั่นในการแบ่งเบาพระราชภาระของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว และสมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินี ในการสืบสาน รักษา และต่อยอด แนวพระราชปณิธานของสมเด็จพระบรมราชชนนีพันปีหลวง เพื่อให้คนไทยทุกคนมีความสุข ดังพระปฐมบรมราชโองการของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว “เราจะสืบสาน รักษา และต่อยอด และครองแผ่นดินโดยธรรม เพื่อประโยชน์สุขแห่งอาณาราษฎรตลอดไป” โดยทรงต่อยอดจากพื้นฐานที่สมเด็จพระบรมราชชนนีพันปีหลวงทรงวางไว้ คือ ทำให้ชาวบ้านกลับมาทอผ้าก่อน ต่อยอดด้วยทรงใช้กลไกตลาด เริ่มต้นจากการพัฒนาภูมิปัญญาของบรรพบุรุษ

โดยนำเอา know-how สมัยใหม่ เกี่ยวกับเรื่องแฟชั่น หัตถศิลป์เข้ามาใส่ “พุ่งเป้าไปที่คน ให้คนไปพัฒนาชิ้นงาน” เช่นเรื่องสีเคมี พระองค์ทรงมีกุศโลบาย บอกให้ประชาชนรู้ว่ามันเป็นอันตราย ใส่ในทุกวันมันก็จะซึมเข้าผิวหนัง น้ำที่เหลือจากการย้อมเทลงพื้นก็จะทำให้ดินเสีย เทลงไปในลำห้วย ปลาก็ตาย น้ำก็เน่า และควันที่ลอยขึ้นยังเป็นก๊าซเรือนกระจกขึ้นสู่ชั้นบรรยากาศทำให้โลกร้อน จึงทรงโน้มน้าว ให้คนใช้สีธรรมชาติ ด้วยการนำหลักการพึ่งพาตนเอง ปลูกหม่อน เลี้ยงไหม ปลูกต้นไม้ให้สี มาใช้ ดังนั้น พระองค์จึงทรงเป็นผู้นำเรื่อง Sustainable Fashion อย่างแท้จริง พร้อมทั้งทรงโปรดให้คณะทำงานโครงการผ้าไทยใส่ให้สนุก ลงมาให้คำแนะนำ มาอบรมโค้ชชิ่ง เพื่อให้ช่างทอผ้าทุกกลุ่ม ทุกเทคนิค ได้พัฒนาผลิตภัณฑ์ของตนเองเพื่อสร้างมูลค่าเพิ่ม และทรงเน้นย้ำว่า “การทำงานเป็นทีมจะทำให้ความสำเร็จในวงกว้างบังเกิดขึ้น” นายสุทธิพงษ์ฯ กล่าวเน้นย้ำ

ปลัด มท.ระบุด้วยว่า การจะพัฒนาคุณภาพชีวิตที่ดีที่ยั่งยืนได้ “ข้าราชการต้องเป็นผู้นำเอาความรู้และเนื้อหาไปสู่พี่น้องประชาชน” ด้วยการที่ 1) ต้องมีความรู้เข้าใจถ่องแท้ และ 2) ต้องเลื่อมใส เป็นผู้นำต้องทำก่อน ด้วย ด้วยการใส่ผ้าไทยในทุกวัน ทุกโอกาส เป็นผู้มีหัวใจหรืออุดมการณ์ หรือ passion และมี creative Thinking ทำหน้าที่ข้าราชการที่ดีในพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวผู้บำบัดทุกข์ บำรุงสุข นำการพัฒนาต่อยอด ไปทำให้ประชาชนอีกหลายล้านชีวิต ได้รับการจุดประกายไฟให้มีแรงบันดาลใจในการที่จะ Change for Good ให้เกิดขึ้นในชีวิต ทำให้พี่น้องประชาชนเป็นผู้รู้ ผู้ตื่น ทำในสิ่งที่ถูก โดยเป้าหมายอยู่ที่ประชาชน ถ้าอยากให้ประชาชนมีคุณภาพชีวิตที่ดี ก็ต้องมีรายได้ดี จะมีรายได้ดีต้องมีความเชี่ยวชาญ ชำนาญในการผลิตงานหัตถศิลป์หัตถกรรมที่ถูกใจผู้คน ไม่ใช่ทำให้คนช่วยซื้อเพราะความสงสาร ต้องทำให้คนซื้อเพราะฝีมือดี ดังที่พระองค์หญิงทรงทำให้ดูเป็นตัวอย่าง ด้วยการสนองพระดำริ ทำให้ผืนผ้าไทยทุกผืนเป็นผ้าที่มีคุณภาพ มีความสวยงาม และมูลค่าที่สูงขึ้น เพื่อประชาชนทุกคนได้มีคุณภาพชีวิตที่ดีอย่างยั่งยืน

ด้านดร.วันดี กุญชรยาคง จุลเจริญ กล่าวว่า ในโลกใบนี้ มีเพียง 20 กว่าประเทศจาก 200 กว่าประเทศทั่วโลกที่มีผ้า มีเครื่องนุ่งห่มเป็นของตนเอง และประเทศไทยเป็นหนึ่งในประเทศที่มีเสื้อผ้าเครื่องนุ่งห่มเป็นของตนเอง มีวัฒนธรรมการทอผ้าด้วยมือ Handmade ของตนเอง ประเทศที่เหลือเป็น Machine-made และที่สำคัญยิ่งไปกว่านั้น นับเป็นความโชคดีของคนไทยทุกคน เพราะประเทศไทยเรานั้นเป็นเพียงประเทศเดียวที่องค์เจ้าฟ้าเจ้าแผ่นดินทรงมีพระมหากรุณาธิคุณอย่างใหญ่หลวง นับเนื่องตั้งแต่สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ พระบรมราชชนนีพันปีหลวง ที่ตลอดระยะเวลากว่า 70 ปีพระองค์ทรงตรากตรำพระวรกายทรงงานเคียงข้างพระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร เยี่ยมเยียนพระราชทานความห่วงใยแก่พี่น้องประชาชนโดยเฉพาะอย่างยิ่ง กลุ่มช่างทอผ้า ที่พระองค์ท่านจะทรงงานตั้งแต่บ่ายจนถึงดึกดื่น ทรงทำในสิ่งที่เคยติดลบกลับคืนสู่ชุมชนจนเป็นอาชีพที่สร้างรายได้

“และนับเป็นบุญอย่างใหญ่หลวงของพวกเราทุกคนที่สมเด็จพระเจ้าลูกเธอ เจ้าฟ้าสิริวัณณวรี นารีรัตนราชกัญญา ทรงมีพระปณิธานอันแน่วแน่ในการสืบสาน รักษา และต่อยอด พระราชปณิธานของสมเด็จย่าพระองค์ท่าน ด้วยการทรงลุกขึ้นมาเป็นผู้นำในการต่อยอดพัฒนาผ้าไทยให้ได้รับการยอมรับและเป็นที่สนใจของตลาดทั้งในและต่างประเทศ โดยพระองค์ทรงลงไปคลุกคลี ลงไปกระตุ้นปลุกเร้า ลงไปประทับเคียงข้างช่างทอผ้า คนทำผ้า และพระราชทานพระวินิจฉัย พระราชทานคำแนะนำในการพัฒนาผลิตภัณฑ์ให้มีความน่าสนใจ เพราะ “พระองค์ไม่เคยทอดทิ้งประชาชนของพระองค์”